Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

14 tips



 
 


work งาน ออฟฟิศ






นี่คือเรื่องราวสัพเพเหระที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตในที่ทำงานแบบไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อ่านแล้วนำไปพิสูจน์กัน ว่าทำแล้วจะช่วยให้ออฟฟิศของเราน่าอยู่น่าทำงานขึ้นอีกไหม




work งาน ออฟฟิศ  คลิป● หากล่องเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนชิ้นเล็กๆ เช่น คลิปดำหนีบกระดาษ แฟ้มเก็บเอกสาร ที่เข้าสันห่วงแบบกระดูกงู และคลิปดำหนีบกระดาษให้เป็นที่เป็นทาง เพราะบ่อยครั้งที่มันจะกระจัดกระจายแล้วถูกกวาดลงถังขยะโดยที่สภาพยังดีอยู่ ช่วยเจ้านายประหยัดเงินได้อีกเยอะทีเดียว










work งาน ออฟฟิศ keyboard● ปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์และปุ่ม Send บนเครื่องแฟกซ์ รวมไปถึงที่จับประตูในห้องน้ำเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคมากที่สุดในที่ทำงาน












work งาน ออฟฟิศ กาแฟ● หนุ่มสาวออฟฟิศต้องจำไว้ การดื่มกาแฟ เกินวันละ 300 มิลลิกรัมนอกจากจะมีส่วนทำให้กระดูกพรุนแล้ว ยังทำให้แก่ก่อนวัยอีกต่างหาก












work งาน ออฟฟิศ รูป● ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาพบว่า มีเชื้อแบคทีเรียอยู่บนโต๊ะทำงาน มากกว่าบนฝารองนั่งในห้องน้ำหลายร้อยเท่า โดยจำนวนเชื้อโรคบนโทรศัพท์ในออฟฟิศมีเฉลี่ย 25,127 คีย์บอร์ด 3,295 และเมาส์ 1,676 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว ในทางกลับกัน ฝารองนั่งในห้องน้ำมีเชื้อโรคอาศัยอยู่เพียง 49 ตัวต่อ 1 ตารางนิ้วเท่านั้น สาเหตุมาจากการที่เราละเลยการทำความสะอาดหลังจากที่เรากินขนมจุบจิบบนโต๊ะทำงานนั่นเอง








work งาน ออฟฟิศ ต้นไม้● องค์การนาซาการันตีว่า ต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่เราปลูกไว้เพื่อประดับโต๊ะทำงาน เช่น ต้นเยอร์บีรา ต้นเดซี่ ต้นพลูด่าง ต้นกวน??ิม ต้นเบญจมาศ มีประโยชน์มากกว่าการสร้างบรรยากาศให้สวยงาม เพราะสามารถช่วยให้อากาศในที่ทำงานดีขึ้นด้วย โดยการช่วยดูดสารพิษจากเครื่องใช้สำนักงาน เช่น สารคาร์บอน สารเบนซิน (มาพร้อมกับหมึกพริ้นเตอร์พลาสติก และยางลบ) ซึ่งช่วยลดอัตราการป่วยของคนในออฟฟิศได้ ดูรายชื่อต้นไม้ที่ควรปลูกเพิ่มเติมที่ www.zone10.com





work งาน ออฟฟิศ กระดาษ● อย่าทิ้งสติ๊กเกอร์คั่นหน้าหนังสือแบบโพสต์อิท หากคุณเพิ่งใช้มันเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะประสิทธิภาพของกาวยังสามารถนำมาใช้แปะคั่นหนังสือได้อีก 2 - 3 ครั้ง นี่คือจุดเล็กๆ ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทาง





● ถ้าทุกคนช่วยกันประหยัดกระดาษสำนักงาน
โดยการนำมารีไซเคิลจะสามารถช่วยชาติประหยัดน้ำได้ถึง 55 เปอร์เซ็นต์ และประหยัดพลังงานมวลรวมภายในประเทศได้มากถึง 60 - 70 เปอร์เซ็นต์






work งาน ออฟฟิศ ทำความสะอาด● วิธีการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เพื่อช่วยลดการป่วยเป็นไข้หวัดในที่ทำงานได้ง่ายๆ คือ การหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารอย่าขี้เกียจเลยนะ เพราะการล้างมืออย่างตั้งใจใช้เวลาเพียงแค่ 20 วินาที หรือเทียบเท่ากับการร้องเพลงแฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์แค่รอบเดียวเท่านั้นเอง





● การดื่มน้ำและกินอาหารมื้อย่อยๆ ในแต่ละวัน
ช่วยลดอาการเครียด หงุดหงิด และลดความกังวลจากงานลงได้





● คอมพิวเตอร์เก่าตกรุ่นของออฟฟิศ อย่าทิ้งขว้างให้เป็นของไร้ค่า
เพราะตอนนี้เอามาวางขายในตลาดออนไลน์อย่าง www.ebay.co.uk ได้แล้ว





● สองวิธีช่วยลดการใช้กระดาษในสำนักงาน
จากเว็บไซต์ www.thegreenworkplace.com

1. ลองปรับเครื่องพริ้นเตอร์ให้เป็นแบบ Double–sided ซึ่งสามารถพริ้นต์เอกสารออกได้ทั้งสองด้านในแผ่นเดียว ภายใน 1 เดือนจะลดการใช้กระดาษได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์
2. ปรับระยะขอบกระดาษใน Microsoft Word เป็น 1/4 นิ้ว จากเดิมที่เคยตั้งค่ามาตรฐานไว้ 1 นิ้วทุกด้าน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการพิมพ์






work งาน ออฟฟิศ แม็ก● มีการสำรวจจากประเทศอังกฤษมาแล้วว่า ถ้าหนุ่มสาวออฟฟิศทุกคนในประเทศลดการใช้ลูกแม็กซ์เพียงวันละ 1 ตัว แล้วหันมาใช้คลิปหนีบกระดาษที่นำกลับมาใช้ต่อได้เรื่อยๆ จะช่วยลดการใช้เหล็กในการผลิตลูกแม็กซ์ได้มากถึง 120 ตันต่อปีเลยทีเดียว




● หากป่วยเป็นไข้หวัด อย่าลังเลในการใช้สิทธิลาป่วย
เพราะทุกครั้งที่คุณจาม เชื้อไวรัสจะกระจายไปทั่วห้องทำงานและมีชีวิตอยู่ได้ 3 วัน เป็นการแพร่เชื้อให้เพื่อนร่วมงานแบบไม่รู้ตัว และน่ากลัวเป็นที่ซู้ด






work งาน ออฟฟิศ● รายงานของสถาบันวิจัยด้านสุขอนามัยจากอเมริกาบอกไว้ว่า เพียงสละเวลาแค่ 5 - 10 นาทีในแต่วัน เพื่อเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้สะอาดเอี่ยมโดยการใช้กระดาษทิชชูเปียก (Wipe) หรือสำลีชุบแอลกอฮอล์ ก็ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียได้มากถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์









วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง


ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน


คำตอบคือ กินสายกลาง  


กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง  +  งดมื้อเย็น


เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์  ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด  เติมอีกครั้ง  ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้  


สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม  ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม  ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้  โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก
..  ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน60 นาที จะเหนื่อยหอบ  เหงื่อไหลท่วมตัว  แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่   ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด  

ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดย ตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก  การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมด โดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก  ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต  ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ  ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร  
 

การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิต ให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน


การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมากถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี  อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน  
 

 

วิธีฝึกมี 4 วิธี


1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ
 เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า  พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ  ต่อไปกินผักผลไม้  สุดท้ายงดอาหารเย็น

 

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น  เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น


 

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที  ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว


 

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น  การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์   พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม.  กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน


ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน 

สาวE-Girlsหน้าใส"ภิญญาพัชญ์" ออมเงิน...คือการฝึกวินัยให้ตนเอง





น้องแก้ม ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา
       คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง
       

       การลงทุนในตลาดหุ้นทุกวันนี้ มีความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง นักลงทุนจึงไม่ควรนำเงินออมทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น แต่ต้องมีการแบ่งเงินออมเป็นส่วนๆในเงินฝาก หรือตราสารการเงินอื่นๆที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยทั่วไปแล้วการแบ่งสัดส่วนเงินมาลงทุนในหุ้นจะแปรผกผันกับอายุของผู้ลงทุน อายุยังน้อยๆก็เล่นหุ้นได้มาก รับความเสี่ยงได้มากกว่า เนื่องจากถ้าขาดทุนในบางช่วงตามความผกผันของตลาดหุ้น ก็ยังมีโอกาสรอให้หุ้นดีขึ้นในอนาคต หรือหากขาดทุนเพราะเลือกหุ้นไม่ดี ก็ยังมีโอกาสทำงานหาเงินได้ แต่ถ้าอายุมากแล้วก็ควรเล่นหุ้นน้อยๆ เพราะเวลาที่เหลือในการแก้ตัวหากเกิดการขาดทุนก็จะน้อยลงตามอายุที่เหลือ อยู่...
       
       “คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง” วันนี้ขอพามาดูการบริหารเงินออมในแบบฉบับของ "น้องแก้ม-ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา" สาวมาดขรึมนักกฎหมาย จากรั้วจามจุรีที่ติด 1 ใน 8 จากการประกวด K-group E-Girls เจนเนอเรชั่นที่ 4 มานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกัน ว่าเธอมีมุมมองการลงทุนเป็นอย่างไรกันบ้างและเธอมีแนวทางการวางแผนการดำเนิน ชีวิตในอนาคตอย่างไรด้วย
       
       "น้องแก้ม"เล่าว่า จากการประกวดสาว K-group E-Girls เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ติด 1 ใน 8 ซึ่งทำให้ได้เงินรางวัลมาทั้งสิ้น 1.5 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับมาเป็นก้อนเลยทีเดียว โดยในช่วงแรกตอนเซ็นสัญญาทางธนาคารกสิกรไทยจะให้เงินมาจำนวน 240,000 บาท และที่เหลือจะให้เป็นเดือน ๆ ละ 30,000 บาท ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ปฎิบัติภาระกิจให้กับทางธนาคาร และในกำลังจะหมดสัญญาลงในสิ้นเดือนพฤษภาคม นี้ และจะมีสาว K-group E-Girls รุ่นที่ 5 เข้ามาทำงานแทน ทั้งนี้ จากเงินรางวัลที่ได้จากการประกวดถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา ใหม่ ทำให้เราได้มีการฝึกฝนในเรื่องของการออมเงินและการลงทุนไปในตัวด้วย
       
       “ประโยชน์ ของการออมเงินนั้นเป็นการฝึกวินัยให้กับตัวเอง เพราะการใช้จ่ายที่ตามใจตัวเองนั้นมันจะทำให้เราไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อแนวโน้มในอนาคตว่าเราจะไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเลย ดังนั้น เราควรฝึกตัวเองให้มีการจัดเก็บเงินในแต่ละเดือนเป็นระบบมากขึ้น มันจะเป็นการวางแผนที่ดีต่ออนาคต เนื่องจากวันข้างหน้า เป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะเราอาจจะต้องมีการใช้จ่ายในยามฉุกเฉินก็เป็นได้” แก้มบอก
       
       "แก้ม" บอกอีกว่า การประกวดครั้งนี้ไม่ใช่เป็นรายได้แรกของแก้ม ซึ่งรายได้แรกที่แก้มสามารถหามาได้ด้วยตนเองนั้นเป็นช่วงปิดเทอมตอนเรียน อยู่ปี 2 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโครงการเวิร์ลแอนด์เทรเวล นักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเราได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในร้านค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือร้านกิ๊ฟชอบบ้าง ซึ่งในขณะ นั้นทำได้ประมาณ 2 เดือนตกเดือนหนึ่งมีรายได้ประมาณเดือนละ 70,000 บาท รวมแล้วได้มาประมาณแสนกว่าบาท พอต้องบินกลับมากรุงเทพฯ เราก็นำเงินที่ได้มาให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกบาททุกสตางค์
       

       กับการทำงานครั้งแรก"แก้ม"บอกว่า รู้สึกดีใจมาก เพราะเราได้ประสบการณ์ในหลาย ๆ ด้าน ได้รู้จักการทำงานกับต่างชาติว่าเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้การทำงานในต่างแดน รวมถึงได้ไปเปิดโลกทัศน์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเองว่าต่างประเทศเขามีอะไรที่แตกต่างจากประเทศไทยอย่างไรด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
       
       ส่วนงานด้านประชาสัมพันธ์พิเศษของธนาคารกสิกรไทยนั้นแก้ม บอกว่า “การ ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา สอนเให้รู้จักการวางตัวและรักษาภาพลักษณ์ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองดูดี แต่เพราะการมีบทบาทเป็นตัวแทนขององค์กร ที่ฝึกให้มีบุคลิกที่ดีจนเคยชินด้วย นอกจากนี้แล้วยังได้ในเรื่องของข่าวสารด้านการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะได้ความรู้เสริมในสิ่งที่เราไม่รู้”
       
       ขณะนี้แก้มจบการศึกษาแล้วจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ และกำลังจะไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่คอแนน สหรัฐอเมริกา โดยแก้มได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อศึกษาต่อในสาขาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ก่อนกลับมาทำงานในตำแหน่งนักวิชาการ ที่กระทรวงคมนาคม
       
       สุดท้าย"แก้ม"ฝากบอกว่า จาก สภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถือว่าค่อนข้างหนัก เพราะโดนกระทบกันถ้วนหน้าแบบเป็นลูกโซ่ ทำให้ภาคธุรกิจต้องชะงัก หรือบางแห่งอาจจะต้องปิดตัวหรือปลดพนักงานออกก็มี เนื่องจากกำลังการผลิตในการส่งออกปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่จะทำได้ในขณะนี้คือการติดต่อข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำเพื่อที่จะได้นำมาปรับใช้ในชีวิตเราและเพื่อเป็น ป้องกันและระมัดระวังกับการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น
       

       ///////////////////////////////////////////////////////////////////////
       ชื่อ – นามสกุล ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา (แก้ม)
       วันเดือนปีเกิด 8 มีนาคม 2528
       การศึกษา ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์
       จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       งานปัจจุบัน K – Group e-girl ธนาคารกสิกรไทย
       (เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์พิเศษ)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2552 02:32 น.

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

7 วิธี"เอื้อเฟื้อ"เพื่อนบ้านอย่างง่าย พลิกให้ชุมชนน่าอยู่







 แม้ประเทศไทยจะยังไม่ผ่านช่วงที่สถานการณ์ทาง เศรษฐกิจและการเมืองตึงเครียด แต่เราก็ยังสามารถสร้างสุขรอบตัวให้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกทำชุมชนรอบบ้านให้น่าอยู่ ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ต้นไม้ตัดแต่งเป็นระเบียบ มีถังขยะเรียบร้อย คนในชุมชนรู้จักกันดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันดี มีน้ำใจ มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เข้าใจกัน และคอยช่วยเหลือกัน ซึ่งการ "เอื้อเฟื้อแบ่งปัน" นั้นเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้
       
       1. ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง โดยอาจออกมาเดินเล่นยามเย็นกับลูก ๆ และใช้ช่วงเวลาดังกล่าว ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับเพื่อนบ้าน และถ้าต้องการเพิ่มความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น อาจจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำอาหารมาทานร่วมกัน พาครอบครัวมาทำความรู้จักกัน ให้ลูก ๆ มาเล่นด้วยกัน หลังงานเลี้ยงเลิกอาจขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของแต่ละครอบครัวเอาไว้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถติดต่อกับเพื่อนบ้านเหล่านั้นได้ทันท่วงที เหล่านี้เป็นต้น
       
       2. ทำความสะอาดพื้นที่รอบบ้านให้โล่งเตียน มองไปทางไหนก็สบายหูสบายตา ต้นไม้รก ๆ ก็ตัดให้เรียบร้อย เก้าอี้สนามก็เช็ดให้สะอาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้โจรผู้ร้ายอาศัยสุมทุมพุ่มไม้เหล่านั้นเป็นที่ ซ่อนกำบังตัว หากมีพื้นที่ส่วนกลางเช่น ทางเดินเท้า หรือถนน ที่มีเศษใบไม้ใบหญ้าก็อาจชวนเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงมาทำความสะอาดร่วม กัน หรือจัดอาสาสมัครแบ่งเวรกันทำก็ได้
       
       3. เปิดไฟสว่างบริเวณหน้าบ้านในยามค่ำคืน เพราะโจรหรือนักย่องเบามักจะไม่ชอบแสงสว่างมากนัก การเปิดไฟเอาไว้ นอกจากจะช่วยให้โจรคิดหนักไม่อยากย่างกรายเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงที่อาจต้องเดินทางกลับ บ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ให้ปลอดภัยมากขึ้นด้วย แต่ก่อนจะปิดบ้านนอน คุณเองก็ต้องไม่ลืมที่จะล็อกกลอน ประตูให้แน่นหนาด้วยเช่นกันนะคะ
       
       4. เอื้อเฟื้อเพื่อนบ้านด้วยการ "กลับบ้านด้วยกัน" หากมีเหตุต้องกลับบ้านยามค่ำคืน เช่น อาจจะงานเลิกดึก หรือไปทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวมา ไม่ผิดหากเจอเพื่อนบ้านในละแวกบ้านที่คุณสนิทคุ้นเคยกำลังเดินกลับคนเดียว แล้วคุณจะชวนเขาให้นั่งรถเข้าบ้านพร้อมกับครอบครัวของคุณ
       
       5. ทำความรู้จักกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดูแลเขตพื้นที่ของคุณ การทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาตรวจตราความเป็นไปในย่านที่คุณพัก อาศัย ตลอดจนช่วยสังเกตคนแปลกหน้าที่บังเอิญหลงหูหลงตาเข้ามาอยู่ในชุมชนเป็นอีก หนึ่งความช่วยเหลือที่คุณสามารถทำได้ เพื่อให้สังคมรอบข้างที่คุณอาศัยอยู่นั้นปลอดภัยยิ่งขึ้น
       
       6. ร่วมมือกับเพื่อนบ้าน และทางการในการแบ่งปันความคิดเห็นต่าง ๆ ตลอดจนข้อเสนอแนะดี ๆ เพื่อให้สังคมโดยรอบปลอดภัยและสงบสุขมากขึ้น เช่น อาจจัดให้มีอาสาสมัครพ่อแม่คอยดูแลตรวจตราความปลอดภัยของชุมชน ดูแลเด็ก ๆ ไม่ให้ไปมั่วสุมสิ่งเสพติด หรืออาจจัดสถานที่กลางเอาไว้สอนเด็ก ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาสนใจ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี วาดรูประบายสี
       
       7. รักษามารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม แม้จะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว แต่ก็ต้องรักษามารยาทในการอยู่ร่วมกันเช่นกัน ปัญหาเล็ก ๆ ก็อาจทำให้เพื่อนบ้านที่เคยสนิทชิดชอบกันไม่พอใจกันขึ้นมาได้ เช่น การหยิบยืมข้าวของของเพื่อนบ้านมากจนเกินความจำเป็น, การเปิดเพลงเสียงดัง, การแสดงกิริยาอาการกักขฬะ, การพูดคุยเสียงดังหรือใช้วาจาไม่สุภาพ ตลอดจนการไม่รักษามารยาทอื่น ๆ เช่น การติฉินนินทาเพื่อนบ้านคนอื่นเป็นที่สนุกปาก การหยิบยืมเงินทอง ฯลฯ

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)

10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)
5 กุมภาพันธ์ 2552 - 0:07:00
เว็บไซต์สมาคม จิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ "10 ways to build resilience (= 10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต)"
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กัน ฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
 
 >
(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์
  • ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง... สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)
  • อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
  • การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ
 (2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)
  • ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ
  • ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว
  • การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
 (3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
  • ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้... หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด
  • อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้
  • เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุด แล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว... ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ
 (4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย
  • ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
  • คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม
(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล
  • คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบ ด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"
 (6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา
  • คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ
  • ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
  • ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอ แต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวานแต่ละโมบโลภมาก กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ
(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก
  • พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ
  • นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
  • ไม่ว่าจะทำงานอะไร... ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
 (8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล
  • มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม... ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา
  • การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ
  • ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร... ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ
  • ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
  • ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ
(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้
  • ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต... สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"
  • ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ
 (10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย
  • ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่า เส้นผม... สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ
  • เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
  • ถ้าเครียดจนเกินไป... การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ... บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ
ไม่ว่าวิกฤต จะหนักเพียงไร... วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้... ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ... ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)
หรือเราจะ มองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้... "หลังพายุ... จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)" ทว่า... ตอนนี้เรียนเสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โลกเป็นอย่างไรเมื่อ 100 ปีที่แล้ว (​1908)

เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่า เราในปัจจุบันช่างแตกต่างจริงๆ
     ************ ********* ********* ******
  1. มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีอ่างอาบน้ำ.
  2. เฉพาะ 8 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีโทรศัพท์.
  3. สูงสุดความเร็วจำกัดในเกือบทุกเมืองคือ 10 ไมล์ต่อชั่วโมง.
  4. โครงสร้างที่สูงที่สุดในโลกคือ Eiffel ทาวเวอร์!
  5. ในอัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยคือ  7 บาท/ชั่วโมง
  6. เฉลี่ยค่าแรงที่คนงานทำระหว่าง $ 200 และ $ 400 ต่อปี.
  7. พนักงานบัญชีที่สามารถคาดหวังได้ $ 2000 ต่อปี,
  8. หมอฟันเงินเดือน $ 2500 ต่อปีเป็นสัตวแพทย์ระหว่าง $ 1500 และ $ 4000 ต่อปีและวิศวกรช่างกลประมาณ $ 5000 ต่อปี.
  9. มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของสถานที่ทั้งหมดที่เกิดที่บ้าน
  10. เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดแพทย์ไม่จบอุดมศึกษา!
  11. แต่พวกเขาเข้าร่วมเพื่อที่เรียกแพทย์โรงเรียนหลายที่
  12. ได้ถูกตราหน้าในกดรัฐบาลเป็น 'ถึงขนาด. '
  13. น้ำตาลต้นทุนสี่เซ็นปอนด์.
  14. ไข่ถูกสิบสี่เซ็นเป็นโหล.
  15. กาแฟเป็นสิบห้าเซ็นต์ปอนด์.
  16. ผู้หญิงส่วนใหญ่ของพวกเขาเท่านั้นล้างผมเดือนละหนึ่งครั้งและใช้ น้ำประสานทองหรือไข่เป็นแชมพู.
  17. แคนาดาผ่านที่กฎหมายห้ามยากจนคนจาก
  18. เข้ามาในประเทศของตนด้วยเหตุผลใดก็ตาม.
  19. ห้าชั้นนำสาเหตุแห่งความตายได้: 1. ปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ 2. วัณโรค 3. ป่วง 4. โรคหัวใจ 5. เส้นเลือดในสมองอุดตัน
  20. ธงอเมริกันมีดาว 45 ดาว
  21. ประชากรที่ลาสเวกัส, เนวาดาเป็นมีเพียง 30 คน!!!!
  22. จำนวน 2 ใน 10 คนของผู้ใหญ่ไม่สามารถอ่านหรือเขียน.
  23. จำนวน 6 % ทั้งหมดมีชาวอเมริกันสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม.
  24. มีเจ้าหน้าที่เต็มเวลา 1 คน ที่จะช่วยเมืองทั้งเมือง
  25. มีรายงานเกี่ยวกับ 230 ใน murders ทั้งหมด! U.S.A.! ( ปี 2004 มี 14,124 คน เพิ่มขึ้น 61 เท่า)