Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย ดีมากๆค่ะ




 


คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
 
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
 
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่ 
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
 
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น 
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว
 
ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
 
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
 เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ 
ข้อหนึ่ง
 
นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีคุณและมีโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
 
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
 
ข้อสอง 

คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว
 
ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า
 
น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
 
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
 
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ  
 
แต่ป้สสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกาย
 
อย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด 
นอกจากนี้ อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 
1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
 
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 
1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
 
แก้วละ 200 มล. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
 
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ
 
ต่อความต้องการของร่างกาย
 

สูตรคือ
 

น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร
 
ครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ 
(60 x 2.2 x 30) หาร 2 = 1980 มล. 
หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะเดินไม่สะดวก
ร่างกายก็จะทั้งขับของเสียยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า
ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย 
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน
 
ก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
 
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
 
ข้อสาม 

อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ 
ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
 
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
 
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติก ๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉย ๆ
 
แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
 

ข้อสี่ 

ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้ว
 
เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ไหนใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปบ้างประมาณว่ากินข้าวเสร็จ หมดน้ำไปสองแก้ว ยกมือขึ้น
 
ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
 
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
 
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
 
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น
 
ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
 
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็น
 
คืออาหารไม่ย่อยหมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด
 
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 

2-5 แก้ว
เพื่อเป็นการขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ 
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 
2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำ 
แก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
 
ถ้ากินน้ำครั้งละมาก ๆ ผลก็คือ 
ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึม 
ก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
 
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว
 
ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ
 
เหมือนทำยาก แต่จริง ๆ แล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
 
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด
 
เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย 
(กินกันเป็นแก้ว ล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
 เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป 
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป
 
แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ
 
กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
 
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
 
นอกจากนี้หลังอาหารยัง
ไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วย 
ครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
 
มีสองเหตุผลครับ
 

หนึ่ง 

เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ
 
ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้
 
พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
 
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 
1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
 
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง 
คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไป
 
ก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
 

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว 

เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน
 
ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
 
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้
 
แต่อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
 
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว
 
คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมน้ำเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี
 
ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
 
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข็าไปท็องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี
 
เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
 
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขายแต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้น
 
ระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย 
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ 
"กาแฟหอมนะหมอ" 
หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็น หมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่งครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555 
ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ
อย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง 
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน
 
แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานสุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ
 
ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
 
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
 

นำไปปฎิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ
คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก 
ขอให้บอกต่อๆกันไป ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด

นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระ ที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
1. น้ำทับทิม
2. ไวน์แดง
3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
4. น้ำบลูเบอร์รี่
5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
6. น้ำอะซาอี
7. น้ำแครนเบอร์รี่
8. น้ำส้ม
9. น้ำชา
10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Re: LiteType l พิมพ์ทุกภาษาบนหน้าเว็บเดียว

เอกสารนี้ถูกนำเข้ามายัง Google Documents ในชื่อของคุณ:
http://docs.google.com/Doc?id=dcgbc9mf_70fk4xk7dv&invite=
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ทีม Google Documents

LiteType l พิมพ์ทุกภาษาบนหน้าเว็บเดียว




       

       LiteType คือ เว็บไซต์ที่ช่วยให้คุณสามารถพิมพ์ข้อความกว่า 50 ภาษาได้กับทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในโลก โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาลงโปรแกรมใดๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการใช้งานแป้นพิมพ์เสมือนจริง นั่นเอง (Online Virtual Multilingual & Interactive Keyboard)
       
       ไม่เพียงแต่พิมพ์ข้อความเท่านั้น คุณยังสามารถ...
       
       1. "ค้นหาข้อมูล" จากเว็บไซต์ค้นหายักษ์ใหญ่ที่ได้ผลตรงจุดอย่าง การค้นหาข้อมูลด้วย Google, Yahoo!, Live, ASK, ebay และ สารานุกรมออนไลน์ Wikipedia (ซึ่งถ้าค้นหาภาษาไทย ก็จะลิงก์ไปยัง Wikipedia ของไทยด้วย) ส่วนวิดีโอก็ค้นหาจาก YouTube หรือ Metacafe ได้ รวมถึงการค้นหาแผนที่ และ ดิกชันนารีด้วย
       
       อย่าลืมว่าการค้นหาด้วยภาษาที่ถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ตรงใจมากขึ้นด้วย
       
       2. "แปลภาษา" จากข้อความในภาษาต่างๆ ที่คุณพิมพ์ขึ้นมาได้อีกด้วย
       
       วิธีการทุกอย่างยังเหมือนเดิม คุณสามารถเอาเม้าส์ชี้เลือกแป้นพิมพ์เสมือนทีละตัว หรือถ้าเป็นเซียนพิมพ์ดีดแล้วก็สามารถปิดตาแล้วดีดนิ้วไปมาบนแป้นพิมพ์ปกติ ได้เลย

       ดูวิดีโอสาธิตการใช้งาน Litetype ได้ที่นี่
       
       


       เคล็ดลับการใช้งาน LiteType
       
       * เปลี่ยนสีโครงสร้างเว็บได้ที่ปุ่ม Skins

       

       * เป็นธรรมดาที่เว็บไซต์เปิดให้บริการฟรี จึงมีโฆษณามาอยู่เต็มไปหมด
       แต่คุณสามารถกดปุ่ม Remove Ads เพื่อให้แสดงผลแต่แป้นพิมพ์ก็ได้
       
       * กดปุ่ม ctrl+ เครื่อหมาย + ก็จะซูมแป้นพิมพ์เข้า และซูมออกเมื่อกด ctrl+ เครื่องหมาย -
       
       * ถ้าต้องการให้ผลการค้นหาข้อมูล ทำโดยการเปิดหน้าเว็บใหม่อย่าลืมติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง Show results in a new window ด้วย
       
       * ถ้าคุณลองใช้งานแล้วไม่ได้ ต้องไปดูว่าเบราว์เซอร์ หรือโปรแกรมเปิดเว็บของคุณ เปิดใช้งานจาวาสคริปต์หรือไม่ คลิกดูรายละเอียดการตั้งค่าของแต่ละเบราว์เซอร์ที่นี่ 
       
       LiteType เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยู่ไกลบ้าน และต้องเดินทางบ่อยๆ หรืออาจารย์และนักเรียนผู้หมั่นศึกษาภาษาที่ 3
       
       หมายเหตุ
       
       สำหรับภาษาจีนใน Litetype สามารถพิมพ์ได้เฉพาะจีนดั้งเดิม (Traditional Chinese) ไม่สามารถใช้งานพินอิน และการพิมพ์ตัวอักษรจีนประยุกต์ (Simplified Chinese) ได้

wobzip l เปิดซิปไฟล์ออนไลน์ ง่ายและปลอดไวรัส




       

       
       อะไรเอ่ย?
คือ สิ่งของที่เราได้เห็น ฟัง ดูแต่ไม่เคยจับต้องได้ในฝ่ามือจริงๆ เลยสักครั้ง
       คำตอบก็คือ "ไฟล์ (File)" หรือถ้าเรียกให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยก็คือ "แฟ้มข้อมูล"
       

       
       และหลายต่อหลายครั้ง ที่การใช้งานเพื่อตอบสนองผัสสะที่กล่าวมาข้างต้น จำเป็นจะต้องอาศัย "ไฟล์มากกว่า 1 ไฟล์" ดังนั้นการที่จะทำให้ไฟล์หลายๆ ไฟล์นั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่จะแนบไปกับอีเมล หรือส่งให้เพื่อนทาง MSN ได้สะดวกยิ่งขึ้น ก็จะต้องมีการบีบอัด และมัดให้มันรวมอยู่เป็นไฟล์เดียว ซึ่งกริยาดังกล่าว เรียกเป็นศัพท์เทคนิคแบบบ้านๆ ได้ว่า การซิปไฟล์ เหมือนกับการเก็บไฟล์ใส่กระเป๋าเดียวกันแล้วรูดซิปปิดนั่นเอง
       
       และวันนี้ก็มีเว็บไซต์ดีๆ ที่จะช่วยให้คุณ "เปิด" หรือ "แตก" ไฟล์ที่ถูกซิปมาได้ง่ายๆ เว็บนั้นมีชื่อว่า wobzip
       


       

       wobzip คือ เว็บไซต์ที่ช่วยให้คุณสามารถแตกไฟล์ (uncompress files) ออนไลน์ได้ ซึ่งเหมาะมากกับคนที่...
       
       ไม่รู้ว่าจะเปิดไฟล์ที่ซิปแล้วมาดูได้อย่างไร? ต้องคลิกขวา และเลือกเมนูไหนต่อ!?!
       
       แต่ ถ้าใช้ wobzip ก็แค่คลิกปุ่มอัปโหลดไฟล์เท่านั้น อีกทั้งยังมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของไฟล์ เพราะทุกไฟล์ที่อัปโหลดขึ้นมาที่ wobzip จะถูกเข้ารหัสก่อนที่จะแตกไฟล์ออกมา
       

       ไม่มีโปรแกรมแตกซิปยอดนิยมติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ อาทิ WinZip, WinRAR สามารถทำการเปิดดูไฟล์ต่างๆ ที่ถูกซิปไว้ได้
       
       แต่ถ้าใช้ wobzip ไม่ต้องลงโปรแกรม ทุกอย่างผ่านหน้าเว็บ
       
       ไม่กล้าเปิดไฟล์ซิปเพราะกลัวว่าเครื่องคอมฯ จะติดไวรัส หลังจากที่มีไวรัสซิปไฟล์แพร่ระบาดทั้งใน MSN และอีเมล
       
       แต่ ถ้าใช้ wobzip จะมีการสแกนไวรัสโดย BitDefender ถ้าไฟล์ใดติดไวรัสจะถูกนำออกไป ก่อนจะมาแสดงโชว์เพื่อให้คุณดาวน์โหลดลงเครื่องต่อไป
       
       ไม่ชัวร์และอยากรู้ว่าภายในกระเป๋าซิปนั้น มันมีไฟล์อะไรอยู่ข้างใน ถ้าไม่น่าสนใจ ก็จะได้ไม่เสียเวลาโหลดและเปิด
       
       เพราะ wobzip จะแสดงชื่อไฟล์ต่างๆ ที่อยู่ภายในให้คุณเห็นทั้งหมดบนหน้าเว็บ
       
       
       เริ่มต้นใช้งาน wobzip

       
       1. เลือกไฟล์ซิปที่ ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมฯ (กดปุ่ม Choose File) หรือ ใส่ลิงก์ที่อยู่ของไฟล์ซิปที่ต้องการเปิด (คลิกที่ uncompress from a URL) ซึ่งแต่ละไฟล์นั้นต้องมีขนาดไม่เกิน 100 เมกะไบต์
       
       2. จากนั้นกดปุ่ม wobzip เพื่ออัปโหลดไฟล์ซิปขึ้นไปบนเซิร์ฟเวอร์
       
       ในกรณีที่คุณทราบว่าไฟล์ซิปนั้นมีการใส่รหัสป้องกัน ก็สามารถกรอกรหัสนั้นในช่องด้านล่างที่เขียนว่า Password protected?
       
       ระบบของ wobzip ซึ่งใช้เครื่องมือแตกซิปของ 7-Zip ที่สามารถจะเปิดไฟล์ซิปนามสกุลต่างๆ ได้ดังนี้
       7z, ZIP, GZIP, BZIP2, TAR, RAR, CAB, ISO, ARJ, LZH, CHM, Z, CPIO, RPM, DEB and NSIS.
       
       3. รอสักพัก ก็จะเห็นไฟล์ที่อยู่ในซิปแสดงออกมาทั้งหมด สังเกตที่รายชื่อไฟล์ที่ถูกแตกซิปมาจะมีสีส้ม
       
       หลังจากเปิดซิปไฟล์ได้แล้วคุณสามารถเลือกได้ว่า
       

       * ดูซิปไฟล์ทีละไฟล์ โดยการคลิกที่ชื่อไฟล์สีส้ม
       
       * โหลดไฟล์เดิมกลับเป็นนามสกุล zip ได้อีกครั้ง (Download all files as .zip)
       
       * ลบไฟล์ซิปที่เพิ่งอัปขึ้นมาได้ (Delete all files)
       
       อย่างไรก็ดี wobzip ก็ยังมีข้อเสียสำหรับผู้ใช้ชาวไทย คือ ยังไม่สามารถอ่านชื่อแฟ้มที่เป็นภาษาไทยได้ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจ จึงควรแก้ชื่อแฟ้มเป็นภาษาไทยเสียก่อนที่จะอัปขึ้นไปเพื่อแตกไฟล์ รวมถึงไฟล์ซิปนามสกุล .tar.gz และ .tar.bz2 จะไม่สามารถแตกไฟล์ได้ในขณะนี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 พฤษภาคม 2552 12:22 น.

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Nick Vujicic (ชีวิตที่ดังกว่าคำพูด)

Very inspiring and encouraging !! 
ท่านสามารถเข้าไปที่ link ด้านล่าง (สามารถ download เก็บไว้ได้ด้วย) 
 

Nick Vujicic เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา เขาเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น


แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

 

"No arms, No legs, No worries"

An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.
เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว

My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!
ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!
I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.
ผมเกิดมาโดยที่ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย

"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds."
"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"

....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
...ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี
However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".
อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"
Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.
ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ

The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.
คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง

Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.
พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้

The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.
กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้า

I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.
ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น

 

I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.
ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่

There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.
มีบางเวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง
Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.
เนื่องจากการต้องดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพร

To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams.
One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.
เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้
บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง

 "And we know that in all things God works for the best for those who love Him."
That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life.
"และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
I had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.
Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.
ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9
พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยานอันยิ่งใหญ่ ให้กับฤทธิ์อำนาจของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิษฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มี


I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.
ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย

I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.
ผมมี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม

I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"!
Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!"
ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"!
การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"

I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box".
The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's!
ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าในการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง"
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!

 


Help keep personal info safe. Get Internet Explorer 8 today!



Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!