Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมลฉบับนี้ได้รับการโหวดว่าเป็นอีเมลยอดนิยมของผู้หญิงในรอบปี


A man was sick and tired of going to work every day while his wife stayed home...
ชายคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการที่ต้องไปทำงานทุกวันในขณะที่ภรรยาของเขาได้อยู่บ้าน

He wanted her to see what he went through so he prayed:
เขาต้องการให้ภรรยารับรู้สิ่งที่เขาเจอะเจอจึงได้อธิษฐานว่า
'Dear Lord:
โอ้ พระผู้เป็นเจ้า

I go to work every day and put in 8 hours while my wife merely stays at home.
ผมไปทำงานทุกวัน ๆ ละ 8 ชม ในขณะที่ภรรยาผมได้อยู่บ้านอย่างสุขสบาย

I want her to know what I go through.
ผมต้องการให้หล่อนได้รับรู้ว่าผมต้องเผชิญกับอะไรบ้าง


So, please allow her body to switch with mine for a day. Amen!'
ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาติให้ร่างกายของหล่อนสลับร่างกับของผมสักวันหนึ่งเถิด เอเมน

God, in his infinite wisdom, granted the man's wish.
พระองค์ผู้มีพระปัญญาเป็นเลิศได้อนุมัติตามที่ชายคนนั้นมีความประสงค์

The next morning, sure enough, the man awoke as a woman...
อย่างแน่นอนที่สุด เช้าวันต่อมา ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาในสภาพผู้หญิง

He arose, cooked breakfast for his mate,
เขาลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้คู่ชีวิตของเขา

Awakened the kids,
ปลุกลูก ๆ

Set out their school clothes,
จัดเตรียมชุดนักเรียน

Fed them breakfast,
ป้อนอาหารเช้า

Packed their lunches,
ห่อข้าวกลางวัน

Drove them to school,
ขับรถไปส่งที่โรงเรียน

Came home and picked up the dry cleaning,
กลับมาบ้านและเอาเสื้อผ้าที่จะส่งซักแห้ง

Took it to the cleaners
จัดส่งไป

Went grocery shopping,
ไปร้านขายของชำ

Then drove home to put away the groceries,
ขับรถเอาของชำที่ซื้อมาไปเก็บที่บ้าน

He cleaned the cat's litter box and bathed the dog..
เขาล้างกล่องใส่อาหารแมวและอาบน้ำสุนัข

Then, it was already 01P.M.
กระทั่งเสร็จก็บ่ายโมงแล้ว

And he hurried to make the beds, Do the laundry, vacuum, Dust, sweep and
mop the kitchen floor.
และเขาต้องรีบจัดเตียง ซักผ้า ดูดฝุ่น กวาดและถูกพื้นห้องครัว
 
Ran to the school to pick up the kids and got into an argument with them
on the way home.
รีบบึ่งไปโรงเรียนรับลูกและโต้เถียงกับพวกเขาระหว่างทางกลับบ้าน

Set out milk and cookies and got the kids organized to do their homework.
เตรียมนมและคุ้กกี้ และจัดการให้เด็ก ๆ ทำการบ้าน

Then, set up the ironing board and watched TV while he did the ironing.
ตั้งโต๊ะรีดผ้าและดูทีวีขณะที่เขากำลังรีดผ้า

At 4:30 he began peeling potatoes and washing vegetables for salad,
breaded the pork chops and snapped fresh beans for supper.
16.30 น เขาเริ่มปอกมันฝรั่งและล้างผักทำสลัด เตรียมเนื้อสัตว์และถั่วสำหรับอาหารค่ำ

After supper, he cleaned the kitchen, ran the dishwasher, folded laundry,
bathed the kids, and put them to bed.
At 09 P.M.
หลังอาหารค่ำ เขาล้างครัว เปิดเครื่องล้างจาน พับเสื้อผ้า อาบน้ำลูก ๆ และส่งพวกเขาเข้านอน

He was exhausted and, though his daily chores weren't finished, he went to
bed where he was expected to make love, which he managed to get through
without complaint.
เขารู้สึกอ่อนเพลียและแม้กระนั้นงานบ้านประจำวันก็ยังไม่เสร็จ  เขาจึงเข้านอน
(ขอไม่แปลต่อนะคะเพราะไม่เหมาะสำหรับเด็ก)

The next morning, he awoke and immediately knelt by the bed and said: -
'Lord, I don't know what I was thinking.
I was so wrong to envy my wife's being able to stay home all day.
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นและคุกเข่าข้างเตียงในทันที และกล่าวว่าโอ้พระเจ้า ผมไม่รู้ว่าผมกำลังคิด
อะไรอยู่  ผมเข้าใจผิดมากมายที่อิจฉาภรรยาของผมที่หล่อนสามารถอยู่บ้านได้ทั้งวัน

Please, oh! Oh! Please, let us trade back. Amen!'
ได้โปรดเถิด ได้โปรดให้เราได้กลับสู่สภาพเดิมด้วยเถิด เอเมน
 

The Lord, in his infinite wisdom, replied:
พระองค์ผู้มีพระปัญญาล้ำเลิศกล่าวตอบว่า
 

'My son, I feel you have learned your lesson and I will be happy to change
things back to the way they were.
ลูกของเรา เรารู้สึกว่าเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเราก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้กลับสู่สภาพเดิม
 
 

You'll just have to wait nine months, though.
แม้กระนั้น เจ้าจะต้องรออีก 9 เดือน
 

You got pregnant last night.'
เจ้าตั้งครรภ์เมื่อคืนนี้


This has been voted Women's Favorite E-mail of the Year!

--
My Personal Website
http://huanjung.diaryclub.com

อาการของนิ้วล็อก อาการของโรคปวดเข่า เข่าเสื่อม






  
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก ปั้ก! เสียงกดแป้นคีย์บอร์ดของพนักงานออฟฟิศดังขึ้นตลอดทั้งวัน นิ้วระรัวอยู่กับการพิมพ์งานตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง บวกกับท่านั่งที่แทบจะไม่ขยับ แถมหลังเลิกงานยังพอมีเวลาก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์มือถือตัวกลมมนสีดำราคาแพง เพื่ออัพเดตสถานะของตัวเองกับเพื่อนๆ ได้อีก ขยันใช้นิ้วแบบนี้ ระวังอาการ ‘นิ้วล็อก' จะตามมาอัพเดตกันถึงที่นะจ๊ะ แถมบางคนยังนั่งอยู่ในท่าพิฆาต ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าเสื่อมตามมาอีก โอ๊ย! ไม่ได้การแล้วตามไปหาสาเหตุ พร้อมวิธีการป้องกันและรักษากันดีกว่าค่ะ 
  
อาการของนิ้วล็อก 
นิ้วล็อกก็คล้ายกับล็อกกุญแจที่เสื่อม คือเกิดจากการใช้งานนานจนเสื่อม ฝืด เกิดอาการอักเสบบวมจนไปกดรัดที่เอ็นนิ้วทำให้ขยับลำบาก นิ้วยึดตึงอยู่ในท่าคล้ายเหนี่ยวไกปืนประมาณเหมือนคนที่เกร็งนิ้ว จนนิ้วมืองอเข้าหากันทั้ง 5 นิ้วหรือ มือหงิก นั่นเอง ซึ่งอาจเกิดได้กับคนที่นิ้วล็อกบ่อยๆ อาทินักคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้นิ้วในการพิมพ์ แม่บ้านหิ้วถุงพลาสติกนักกีฬา เป็นต้น 
อาการของโรคปวดเข่า เข่าเสื่อม 
สาเหตุที่ทำให้ปวดเข่าก็คือ น้ำหนักตัวที่มากเกินไป และนั่งในท่าพิฆาตทั้ง 4 เป็นเวลานาน คือ คุกเข่า พับเพียบ นั่งยองๆ และนั่งขัดสมาธิ หรืออาจจะเกิดจากการกระแทกของการเล่นกีฬาบางชนิด ยกของหนัก รวมทั้งหากเคยปวดเข่าหรือประสบอุบัติเหตุกับเข่ามาแล้ว จะทำให้เข่าเสื่อมเร็วกว่าเดิม 
  

นิ้วล็อก 
1. แช่นิ้วมือ ให้แช่มือทั้งมือในน้ำอุ่น ราว 10-15 นาที ทั้งเช้าและเย็น โดยแช่ให้ท่วมข้อมือ เพราะจะทำให้พังผืดอักเสบทั้งหลายสบายขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ คลายตัวออกจากเอ็นและเส้นประสาท ไม่ให้ไปรัดอยู่อย่างนั้น นิ้วของเราก็จะค่อยๆหายปวดและดีขึ้น 
2. กายบริหารสำหรับคนนิ้วล็อก 
• ‘ยืด' ไม่ให้ยึด คือเหยียดแขนข้างที่เป็นออกไป แล้วกระดกข้อมือขึ้นในท่ายกมือห้าม จากนั้นใช้มืออีกข้างช่วยจับปลายนิ้วทั้งหมดให้เหยียดค้างไว้ นับ 1 ถึง 10 แล้วปล่อย ท่านี้ต้องทำทุกวัน วันละ 10 ครั้ง 
• ‘กำ-แบ' เวลาว่างๆ ให้เหยียดแขนไปข้างหน้า แล้วกำมือเข้าแบมือออกไปเรื่อยๆ หรือจะใช้ลูกบอลเล็กๆ มาหมุนเล่นในฝ่ามือก็ได้ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อในมือ 
• ‘ยางยืด' แก้ฝืดมือ ให้หายางรัดของชนิดหนามาสวมปลายนิ้วไว้รวมกัน แล้วพยายามเหยียดนิ้วออกค้างไว้นับ 1 ถึง 10 ไปเรื่อยๆ เพราะว่า ‘ยาง' จะช่วยให้นิ้วได้ทำงานต้านแรงต่างๆ และช่วยให้กล้ามเนื้อมือไม่ลีบ 
  


ปวดเข่า เข่าเสื่อม 
การบริหารสำหรับอาการปวดเข่า เข่าเสื่อม 
สิ่งแรกที่ควรทำคือ ขอให้ลดน้ำหนักให้ได้สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมากๆ แค่นี้ก็ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว รวมทั้งใช้วิธีการออกกำลังเข่า โดยนั่งเก้าอี้ ห้อยขา แล้วคอยยกขึ้นให้ขนานพื้นค้างไว้สัก 5 วินาทีง่ายๆ แค่นับ 1 ถึง 5 ในใจแล้วค่อยเอาลง ทำอย่างนี้ประมาณวันละ20 ยก แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น 40 ยกต่อวัน จะทำให้เนื้อรอบเข่าแข็งแรงขึ้น และสามารถช่วยพยุงเข่าไว้ได้ 
  

การรับประทานอาหาร 
อาหารต้านการอักเสบ ลดอาการการเกิดนิ้วล็อก ได้แก่ ปลาทะเล และน้ำมันปลา เพราะช่วยลดอาการอักเสบได้เร็ว 
อาหารเติมน้ำให้เข่า บรรเทาอาการปวดเข่า ได้แก่พวก คอลลาเจน เช่น ซุปไก่ น้ำต้มกระดูกอ่อน น้ำต้มปลา และสาหร่ายทะเล นอกจากนั้นยังมีผักเขียวจัด อย่าง บร็อคโคลี่ คะน้า ปวยเล้ง ผักบุ้ง วีทกราส เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงน้ำเลี้ยงข้อเข่าได้ดีทีเดียว 
อาหารเติมแคลเซียมให้ข้อเข่า ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กะปิ และเต้าหู้ขาวแข็ง เพราะเต้าหู้ชนิดนี้จะมีธาตุบำรุงกระดูกเจืออยู่มาก 
  
ข้อควรระวัง : อาหารที่ควรเลี่ยงยามปวดเข่า 
1. ผักผลไม้ที่มีกรดไฟติกมาก เช่น ถั่วงอกดิบ ชะพลู ผักหวาน ตั้งโอ๋ เพราะผักเหล่านี้จะไปแย่งจับแคลเซียม แต่หากอยากกินแล้วล่ะก็ไม่ยากเลย เพียงนำไปต้มหรือผัดให้สุกเสียก่อน เท่านี้ก็จะทำให้ไม่เป็นตัวร้ายกาจสำหรับเข่าเราแล้ว 
2. เครื่องดื่ม ชา กาแฟ และบุหรี่ เพราะมีฤทธิ์เพิ่มการอักเสบภายใน และในขณะเดียวกันคนที่มีอาการนิ้วล็อก หากว่าหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ก็ดีนะจ๊ะ 
3. อาหารหวานจัด และมันสุดๆ เช่น ขนมเค้ก เบเกอรี่ คุกกี้ เนย มาการีน และของทอดของมันต่างๆ 
  
สิ่งสำคัญเลยก็คือ ในช่วงที่มีอาการควรพักการใช้นิ้ว หัวเข่า และอย่าสะบัดข้อมือบ่อย ลองเปลี่ยนท่านั่งและยืดเส้นยืดสายบ้าง นอกจากจะไม่เกิดอาการนิ้วล็อกหรือปวดเข่าแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายยังได้รับการพักผ่อน และจะไม่ส่งผลกระทบ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมา เพราะบางอย่างเราเองมักหลงลืม โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา และร่างกายของเราจนกว่ามันจะฟ้องร้องว่า "เจ็บแล้วนะ!" "เหนื่อยแล้วนะ!" ด้วยอาการต่างๆ เพราะฉะนั้น เริ่มตั้งแต่วันนี้ ดูแลร่างกายตัวเองกันหน่อย อย่าปล่อยให้โรคหรืออาการเจ็บป่วยอื่นๆ มาทักทายตั้งแต่หนุ่มๆ สาวๆ เลยนะคะ 
  

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาดูนิสัยลูกคนโต พี่คนกลาง น้องคนเล็ก

มาดูนิสัยลูกคนโต พี่คนกลาง น้องคนเล็ก
 



            บ่อยครั้งที่มักตัดสินลูกๆ ว่า ก็เพราะเขาเป็นลูกคนโต หรือเพราะเป็นน้องเล็กสุดท้อง นิสัยเลยเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้วันนี้ขอนำเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของลูกคนโต คนกลาง และคนเล็ก (โดยส่วนใหญ่) อย่างนั้นก็ลองมาดูสิว่านิสัยของลูกแต่ละคนเป็นอย่างไร 

นิสัยลูกคนเดียว
ข้อดี : เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต มีความรับผิดชอบ
ข้อเสีย : เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเองทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้าง sensitive 

นิสัยลูกคนโต
ข้อดี : เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา คนที่เป็นลูกคนโตมักยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ข้อเสีย : มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับเมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเอง บางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึงมักผิดพลาดได้ง่าย เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่นเหมือนกับที่วางใจตัวเอง

นิสัยลูกคนกลาง
ข้อดี : เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดีและมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี
ข้อเสีย : มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโตและเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น หรือทำให้คนที่คบรอบข้าง มีความสุขจนเกินขอบเขต หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป

นิสัยลูกคนเล็ก
ข้อดี : มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหา เป็นคนเปิดเผย จริงใจ
ข้อเสีย : มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางค่อนข้างเอาแต่ใจ เมื่อคบหากับใคร ช่วงแรกๆ ก็ดูน่าตื่นเต้น น่าสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกรา การสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวจึงดูเป็นเรื่องยากสักหน่อย

เกี่ยวกับชีวิตคู่

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต : น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง : จุดอันตรายของคนคู่นี้ อยู่ที่ว่าลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน แต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งมักชอบวางอำนาจแม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอน อ่อนผ่อนตาม แต่นานๆ เข้าคนที่เป็นลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ๆ กับตัวเอง และจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กก็จะเป็นคู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง : จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุด เพราะคนที่เป็นลูกคนโตจะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบให้กับชีวิตซึ่งช่วยให้แก้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนาน ร่าเริง มาให้คนที่เป็นลูกคนโต ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา

คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่ : คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2 ทางคือหากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโตและอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว แต่ถ้าหากทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้ แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัยของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมา คู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนกลาง กับลูกคนสุดท้อง : ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี แต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริงๆ แล้ว ก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงามกับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กแล้วละก็ ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว

คู่ทีเป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่ : คนคู่นี้ ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน แต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหา เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาแต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก



หมายเหตุ : บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง คอยสังเกตนิสัยลูกๆ ว่าเป็นอย่างไรไม่ต้องซีเรียสกับการทายนะ

 ที่มา: Dr. Kevin Leman จาก myfirstbrain

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คิดบวก ชีวิตบวก

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ


เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ


เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต


เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)




เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า

นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ


เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย


เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต


เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี


เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง


เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง


เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ


เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง


เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง


เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม


เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์


เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด


เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด”


เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม “ในวิกฤตย่อมมีโอกาส”


เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต


เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

" สูตรแห่งชีวิตประจำวัน "


ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก , ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...

 

ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น " ตำราแห่งชีวิต " ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา , ใครจะทำก็ได้ , ไม่ทำก็ได้ ,เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล , ไม่บังคับยัดเยียดกัน , ไม่ต่อว่าต่อขานกัน ,แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง , ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุนสมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง

 

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑.       ดื่มน้ำให้มาก

๒.      กินอาหารเช้าเหมือนราชา ,รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น ,ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า , และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว , ทำตัวเป็นยาจก ,ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓.      กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน , พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔.      ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E... นั่นคือ energy หรือพลังงาน , enthusiasm หรือกระตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕.      หาเวลาอธิษฐานเสมอ

๖.       เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง , อย่าเครียดกันนักเลย

๗.     อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘..      นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙.      นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.  เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที , แล้วแต่จะสะดวก ,ไม่ต้องเครียดกับมัน , วันไหนไม่ได้เดิน ,ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.  ระหว่างเดิน , อย่าลืมยิ้ม

 

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ ,หากทำเป็นกิจวัตร ,

ชีวิตก็จะแจ่มใส ,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้ , พรุ่งนี้ทำก็ได้แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง , ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

 

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ

๑.       อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่นคุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒.      อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย , ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓.      อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔.      อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนักเพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕.      อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖.       จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗.     ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘.      ลืม เรื่องขัดแย้งในอดีตเสียและอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิด พลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙.      ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.  ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น , จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.  ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒. จง เข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้น อยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณ ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเรา เห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

 

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ ?

๑.     อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓.    จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔.    จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕.     พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖.     คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗.    งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอกแต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น , อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

 

  และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑.       ทำสิ่งที่ควรทำ

๒.      อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ , ไม่สวย , ไม่น่ารื่นรมย์ , จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม ?

      ๓.   เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

      ๔.   ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด , เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕.       ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน , จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวตหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย... get up, dress up and show up.

      ๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

      ๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ , อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘.       เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า ?

 

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

ส่งบทความที่ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย 

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Face behind Facebook

ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่ม 
ด้วยอายุเพียง ๒๐ ปี เท่านั้น 

เขาสร้างเนื้อสร้างตัวรวยเร็วที่สุด เท่าที่นิตยสาร Forbes 
เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง !! 

ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า ๕๐ ๐๐๐ ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็น 
มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้ง 
ของตนเอง โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๖ ปี เท่านั้นเอง !! 

หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้ คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก !! 

ผู้สร้าง Facebook.com ให้โลกได้รู้จัก และเป็นเครือข่าย 
สังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้



มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook.com 



มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) มีเชื้อสาย 
ยิว - อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ (ปัจจุบันอายุ 
๒๖ ปี) คนเก่งระดับโลก เช่น ไอน์สไตน์ ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมี 
เชื้อสายยิว - ผู้เขียน) 


เติบโตในย่าน Dobbs Ferry นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 

เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลาย 
ที่ Phillips Exeter Academy ในปี ๒๕๔๕ 

สมัยเรียนไฮสกูล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ 
ชั้น ป. ๖ เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของ 
ผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต 

คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้าม 
กับเด็กไทยบางคน สนใจแต่เล่นเกมส์ และมีแนวโน้มจะมากขึ้น ผู้เขียน) 


ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไป 
กลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ที่ฮาร์เวิร์ด 
ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้น โครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง 
Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้ 
นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ 

โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษา 
ฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย 
แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์ 
นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับ 
การใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของ 
ซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ 
และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 

ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเอง 
ในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ 
บางแหล่งข่าวระบุว่า 
ซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์ 
คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็น 
บริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ 





Dustin Moskovitz เืพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook.com 
กับ Mark Zuckerberg 


แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษา 
ราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมา 
ซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยัง 
มหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือน 
สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย 
ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz 
และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทัน 
ฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ด 
ตั้งแต่นั้น 

Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้ 
แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ และเข้าถึง 
ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัว 
ทั่วไป 

ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชน 
ในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จัก 
คนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยาก 
จะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น 

ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงิน 
ออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ สำนักงาน Facebook 
แห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจาก 
นั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto 
จำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า " urban campus" หรืออาณาจักร 
วิทยาลัย 




จดหมายเปิดผนึกจาก Mark Zuckerberg เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ 
ที่น่าสนใจ เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต 

ลักษณะการทำงานของ Facebook 



Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้น 
เป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง "ฮาร์วาร์ด" 
เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัย 
โดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและ 
รูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่ 
มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลก 
เข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า 
๑๐๐ ๐๐๐ รายต่อวัน 


ลักษณะการทำงานของ Facebook 


มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะ 
เข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์ 
เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมี 
การแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกัน 
มา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้ 

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์ 
เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้น 
ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกัน 
ในการลงทะเบียนและมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลก 
ใบนี้ 

นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอด 
เยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ "เด็กดี" ขณะที่ My space เหมาะ 
สำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน 


ความร้อนแรงและความหอมหวานของFacebook แล 



ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัท 
ออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่า 
สูงลิ่วถึง ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg 
ก่อนหน้านี้ 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยาก 
ได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้าน 
ดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg 
แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า 

จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกต 
ว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ 
Youtube มาด้วยราคา ๑.๖๕ พันล้าน 

ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ 


บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้ง 
ไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ๒๔๐ ล้าน 
ดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่ ๑.๖ % เมื่อปลายปี ๒๕๕๐ 
ต้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคน 
ขณะนั้น รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงิน 
เพียง ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง ๒๐๐ ล้านดอลลาร์ 
สหรัฐ 

กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของ 
เฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น ๑ ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน 

ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิด 
ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทาง 
ถูกว่า เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับ 
สิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ 

นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จาก 
การเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดย 
เฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้า 
ไม่ถึง 


ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย 



นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลง 
ขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย 
ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด 
Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ 
และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว 

ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว 
โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลก 
เปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ ๑.๙๖ % ของหุ้น Facebook ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่า 
รวม ๑๐ ๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ด 
บริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ 
Facebook ตลอดมา 


ชีวิตส่วนตัว ของ Mark Zuckerberg 






ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุก 
วันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม 

เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ 
และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด 

ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล 
อัลโต 
ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง 
Facebook ใหม่ ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียว 
กับเก้าอี้สองตัว 

ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชาม 
กระดาษกับช้อนพลาสติก 

และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน !!! 

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Re: TubeOke l ร้องเกะที่หน้าจอคอมฯ

เอกสารนี้ถูกนำเข้ามายัง Google Documents ในชื่อของคุณ:
http://docs.google.com/Doc?id=dcgbc9mf_308dtqjqbgx&invite=
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ทีม Google Documents

TubeOke l ร้องเกะที่หน้าจอคอมฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2553 12:55 น.
www.tubeoke.com ร้องคาราโอเกะออนไลน์
       

       เพราะการร้องเพลงช่วยลดความตึงเครียดได้ และการร้องเพลงภาษาอังกฤษก็ช่วยฝึกการออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษาได้ เพื่อการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน จึงอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับเว็บไซต์ใช้งานง่ายๆ ให้คุณร้องคาราโอเกะได้จากที่บ้าน!
       
       
TubeOke.com คือ เว็บไซต์ที่ให้คุณค้นหาชื่อเพลง หรือชื่อศิลปิน เป็นภาษาอังกฤษจากนั้นระบบก็จะนำคลิปวิดีโอของยูทูบที่เป็นมิวสิกวิดีโอเพลงนั้นๆ มาแสดงพร้อมกับเนื้อร้องภาษาอังกฤษด้านข้างของจอ ให้คุณร้องตามเหมือนกำลังร้องคาราโอเกะอยู่ในร้านได้ทันใจ

       

       วิธีใช้งาน TubeOke
       

       
แค่พิมพ์ชื่อเพลงฝรั่ง หรือชื่อนักร้องเป็นภาษาอังกฤษ ที่ตั้งใจจะฝึกร้องให้เป็นเพลงหากินของคุณลงไปในช่องค้นหา เมื่อคลิปเพลงขึ้น ก็ดูเนื้อและร้องเพลงตามได้เลย
       
       
ข้อดี
       
       * ใช้งานง่าย
       
       * ไม่ต้องสมัครสมาชิก
       
       * ไม่มีค่าใช้จ่าย
       
       
ข้อเสีย
       
       * ไม่มีเพลงไทย เพราะถึงแม้เจอมิวสิกวิดีโอเพลงไทย แต่ระบบของ TubeOke ไม่ได้ดึงฐานข้อมูลเนื้อเพลงของไทยมาแสดงด้วย
       
       * ไม่ตัดเสียงให้มีแต่ทำนองเหมือนคาราโอเกะทั่วไป
       
       * ยังไม่มีการแสดงเนื้อหาให้สัมพันธ์กับท่อนเพลงที่กำลังร้อง
       
       ถึงแม้จะมีความสามารถของการเป็นคาราโอเกะไม่เต็ม 100% แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าจะสร้างเสียงเพลง และความสุขในครอบครัว หรือห้องเรียนได้ถึง 110% อย่างแน่นอน
       
       
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ TubeOke
       

       เป็นเว็บไซต์ซึ่งจัดทำโดยผู้ให้บริการเครือข่ายร้านคาราโอเกะในลอนดอน และมีผู้คนเข้าใช้งานมากที่สุดมาจากประเทศอินเดีย
       
       
หมายเหตุ : คุณสามารถร้องเพลงคาราโอเกะจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเพลงไทยในเครือแกรมมี่ได้จากเว็บไซต์ daraoke.com (แต่ต้องลงโปรแกรมและมีค่าใช้จ่าย)

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Re: เศรษฐีกับยาจก นั้นต่างกัน!?

เอกสารนี้ถูกนำเข้ามายัง Google Documents ในชื่อของคุณ:
http://docs.google.com/Doc?id=dcgbc9mf_308gtnfvh6h&invite=
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ทีม Google Documents

เศรษฐีกับยาจก นั้นต่างกัน!?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์7 กรกฎาคม 2553 03:53 น.

"บ้านคือวิมาน" แต่บ้านของผู้นำประเทศร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก กับ บ้านของผู้นำประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนั้น ช่างแตกต่างกัน
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์— สิ่งที่เรียกกันว่า “บ้าน” ของจูเลีย กิลลาร์ด (Julia Gillard) นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งออสเตรเลีย กับ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน นั้นช่างแตกต่างกันมาก ทั้งๆ ที่บุคคลทั้งสองเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยกัน ในระบบที่มี 2 สภาเช่นกัน และ มาจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน 
       
       ต่างกันเนื่องจากบ้านของนายกฯ ออสเตรเลีย เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก สามารถเรียกว่า "กระต๊อบ" ได้ เมื่อเทียบกับคฤหาสน์ "วิมานเอกราช" (Vimean Ekareach) ในกรุงพนมเปญ อันเป็น "บ้าน" ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ดอกเตอร์ฮุนเซน
       
       มันแตกต่างกันอย่างเป็นเท่าทวี เมื่อกระต๊อบของกิลลาร์ด อยู่ในดินแดนที่ร่ำรวยที่สุดอีแห่งหนึ่งในโลก ออสเตรเลียมีประชากร 22,410,165 คน ผลผลิตมวลรวมภายใน (2552) มีมูลค่า 851,170 ล้านดอลลาร์ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรต่อปี 38,910 ดอลลาร์
       
       แต่คฤหาสน์ของผู้นำกัมพูชา ตั้งอยู่ในดินแดนที่ยากจนสุดๆ ของโลก กว่าครึ่งหนึ่งของประชากร มีชีวิตอยู่ใต้เส้นแบ่งขีดความยากจนขององค์การสหประชาชาติ ดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 1 ดอลลาร์ในแต่ละวัน
       
       กัมพูชามีประชากรประมาณ 14,805,000 คน ผลผลิตมวลรวมภายในปีที่แล้ว 11,453 ล้านดอลลาร์ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรต่อปี 805 ดอลลาร์
       
       จูเลีย กิลลาร์ด เข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ของพรรคแรงงานในวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นเป็นรองนายกฯ อยู่ 3 ปี ต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี
       
       นายกรัฐมนตรีกัมพูชาครองอำนาจมาติดต่อกันเป็นปีที่ 24 นับตั้งแต่กองทัพเวียดนามนำขึ้นสู่อำนาจในกรุงพนมเปญในเดือน ม.ค.2522 พร้อมกับผู้นำคนอื่นๆ ของพรรคประชาชนกัมพูชาในปัจจุบัน


ภาพจากอินเทอร์เน็ต นายกฯ ออสเตรเลีย เมื่อครั้งที่เปิดกระต๊อบ... เอ่อออ บ้าน เลี้ยงบาร์บีคิวกับสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้าน
       ฮุนเซนแพ้การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ที่องค์การสหประชาชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2536 แต่อาศัยที่มีกองทัพและกำลังตำรวจอยู่ในมือ ทำให้สามารถต่อรองทางการเมืองจนได้เป็น "นายกรัฐมนตรีคนที่ 2" ได้ แต่ต่อมาในปี 2539 ก็ได้ทำรัฐประหารโค่น สมเด็จฯ กรมหลวงรณฤทธิ์ "นายกรัฐมนตรีคนที่ 1" ลงจากอำนาจ
       
       เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ระบอบฮุนเซนใช้ทั้งกฎหมายและอำนาจเถื่อนกำจัดคู่แข่งทางการเมืองไปทีละคนๆ ในที่สุดก็ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในปี 2551
       
       พรรคประชาชนกัมพูชาชุมนุมรำลึกวันครบรอบการก่อตั้งสัปดาห์ที่แล้ว ประกาศจะส่งฮุนเซน ลงสมัครรับเลือกตั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นผู้นำรัฐบาลต่อไป
       
       ปัจจุบันออสเตรเลียเป็นประเทศผู้บริจาครายหนึ่ง ที่ให้่ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาประจำทุกปี.


นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเปิดวิมานเอกราช ต้อนรับแกนนำพรรคเผา... เอ่อออ เพื่อไทย วันที่ 14 ธ.ค.ปีที่แล้วในภาพแฟ้มของเอเอฟพี นั่นคือเหตุการณ์ปล่อยตัว "จารชน" ชาวไทยอันอื้อฉาว ก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดต้อนรับนักโทษชายหนีคดีจากประเทศไทยแล้วครั้งหนึ่ง

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Re: Faith the dog

เอกสารนี้ถูกนำเข้ามายัง Google Documents ในชื่อของคุณ:
http://docs.google.com/Doc?id=dcgbc9mf_308hmr2x8ct&invite=
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ทีม Google Documents

Faith the dog


Meet Faith the Dog

This dog was born on Christmas Eve in the year 2002. He was born with  2  legs -
He of course could not walk when he was born. Even his mother did not want him.

 
สุนัขตัวนี้เกิดในวันก่อนคริสมาส ปีค.ศ. 2002 มันเกิดมามีเพียง 2 ขา และแน่นอนว่าเดินไม่ได้มาตั้งแต่เกิด แม้แต่แม่ก็ยังไม่ต้องการลูกตัวนี้
 
His first owner also did not think that he could survive and he was thinking of 'putting him to sleep'.

But then, his present owner, Jude Stringfellow, met him and wanted  to take care of him.

She became determined to teach and train this little dog to walk by himself.
She named him 'Faith'..

เจ้าของคนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะสามารถมีชีวิตรอดได้และกำลังตัดสินใจว่าจะ "ทำให้มันหลับไปเลย"(ก็คือฉีดยาให้ตายนั่นแหละ) แต่แล้ว เจ้าของคนปัจจุบัน จูด สตริงเฟลโลว ก็มาพบและต้องการจะเลี้ยง  เธอตัดสินใจแน่วแน่ที่จะสอนและฝึกให้สุนัขน้อยตัวนี้เดินได้ด้วยตัวเอง เธอตั้งชื่อลูกสุนัขตัวนี้ว่า "เฟธ”( FAITH = ศรัทธา)


In the beginning, she put Faith on a surfboard to let him feel the movement. Later she used peanut  butter on a spoon as a lure and reward for him for standing up and jumping around.

Even the other dog at home encouraged him to walk.

 

ในตอนแรก เธอจับมันนอนบนกระดานโต้คลื่นเพื่อให้มันได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหว ต่อมาเธอก็ป้ายเนยถั่วไว้ในช้อนเพื่อล่อให้มันยืนขึ้นและกระโดดไปรอบ ๆ และให้มันกินเป็นรางวัลเมื่อทำได้สำเร็จ แม้แต่สุนัขตัวอื่น ๆ ในบ้านก็ยังช่วยสนับสนุนให้มันเดิน
 
Amazingly, only after 6 months, like a miracle, Faith learned to balance on his hind legs and to jump to move forward.

 

เป็นที่น่าประหลาดใจ หลังจากผ่านไปเพียงหกเดือน ก็เกิดอัศจรรย์ เฟธเรียนรู้ที่จะยืนด้วยขาหลังและกระโดดไปรอบ ๆ เพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
 
After further training in the snow, he could now walk like a human being.

หลังจากการฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยการเดินลุยหิมะ ตอนนี้มันสามารถมันสามารถเดินได้เหมือนมนุษย์


Faith loves to walk around now.

ตอนนี้เฟธชอบการเดิน
 
No matter where he goes, he attracts people to him. He is fast becoming famous on the international scene and has appeared on various newspapers and TV shows.

ไม่ว่ามันจะเดินไปที่ไหน มันดึงดูดความสนใจจากคนที่ได้เห็น มันมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในระดับนานาชาติและได้ปรากฎตัวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับและรายการทีวีอีกมากมาย
 
There is now a book entitled 'With a Little Faith' being published about him.

He was even considered to appear in one of Harry Potter movies.

ขณะนี้มีหนังสือชื่อว่า "With a Little Faith" ได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับมัน เฟธยังเคยได้รับการพิจารณาให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แฮรี่ พอร์ตเตอร์อีกด้วย

 
 

 

His present owner Jude Stringfellew has  given up her teaching post and plans to take him around the world to preach that even without a perfect body, one can have a perfect soul'.

 

เจ้าของคนปัจจุบัน จูด สตริงเฟลโลว หมดหน้าที่ในการสอนและวางแผนที่จะพามันเดินทางไปรอบโลกเพื่อไปแสดงให้ผู้คนเห็นว่า ทุกคนสามารถจะมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ได้ ถึงแม้ว่าจะปราศจากร่างกายที่สมบูรณ์

 
 

 

 

 

 

 

 

In life there are always undesirable things, so in order to feel better you just need to look at life from another direction.

 
ชีวิตมักต้องเผชิญสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้น คุณก็เพียงจำเป็นต้องมองดูชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง
 
 
I hope this message will bring fresh new ways of thinking to everyone and that everyone will appreciate and be thankful for each beautiful day.

 
ฉันหวังว่าข้อความนี้ จะนำแนวคิดใหม่ที่สดใสมาให้กับทุกคน และหวังว่าทุกคนจะชื่นชมและรู้สึกขอบคุณสำหรับแต่ละวันที่สวยงาม
 
Faith is the continual demonstration of the strength and wonder of life
.
 
ศรัทธายังคงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึง พลังและความพิศวงของชีวิตต่อไป
 



A small request:
All you are asked to do
Is keep this story circulating

 

คำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ :
ขอให้ทุกท่านส่งเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป