Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ค่าของเงิน (ยี่สิบบาท) อ่านแล้วน้ำตาร่วง



เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ในขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้


แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600
กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้
เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์
พันธ์ทิพย์ดอทคอม
ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง

ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1
ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม :
ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า
ตา :
(ยิ้ม) จะไปอยุธยา
ผม :
ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ
ตา :
ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว
ผม :
เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ
ตา :
เขาจ้างวันละ
20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง
ผม :
แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว
ตา :
คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ
ผม :
ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ
ตา :
ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว
ผม :
ลูกๆ ไม่มีเหรอตา
ตา :
มีลูก
2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย
ผม :
แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ

ตา :
ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา

ผม :
แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง
ตา :
ตาเดินมาเรื่อยๆ
ผม :
เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ

ตา :
(ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)
ผม :
แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน
ตา :
หลังสงกรานต์
2 วัน (ยิ้ม)
ผม :
แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา
ตา :
อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา
ผม :
แล้วตากินอะไรอยู่
ตา :
เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ
ไม่เอาตังค์ตาด้วย
ผม :
(สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม
ตา :
(ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า
ผม :
แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา
(เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)
ตา :
น้ำกินตาเอง

หลังจากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ
76 ปีแล้ว
แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ
เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก

เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา
และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา
และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ
"รอยยิ้ม" ที่เห็นฟัน 1 ซี่
ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน

ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี
จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้
พร้อมเงินอีก
190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น)
ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา
ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช
หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า

ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง

ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน

มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง


...
และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า
ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง
ว่าวันนี้คุณ
"พอเพียง" แค่ไหนกัน ?

ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า

เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้

แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า
ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น
เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น