| ||||
| ||||
|
Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Orarick Sriwong invited you to Dropbox
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน
|
The information contained in this email and any attachments may be confidential and is provided solely for the use of the intended recipient(s). If you are not the intended recipient, you are hereby notified that any disclosure, distribution, or use of this e-mail, its attachments or any information contained therein is unauthorized and prohibited. If you have received this in error, please contact the sender immediately and delete this e-mail and any attachments.
No responsibility is accepted for any virus or defect that might arise from opening this e-mail or attachments, whether or not it has been checked by anti-virus software.
อย่าคิดเองว่าเป็นไปไม่ได้
*1*
คุณบอกว่า
: "มันเป็นไปไม่ได้"
พระเจ้าตรัสว่า: "ทุกอย่างเป็นไปได้" (ลูกา 18:27)
"แต่พระเจ้าตรัสว่า "สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้"
คุณบอกว่า: "ฉันเหนื่อยเหลือเกิน"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะให้เจ้าได้หายเหนื่อย" (มัทธิว 11:28-30)
"28)บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข,29) จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก,30)ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"คุณบอกว่า: "ไม่มีใครรักฉันเลย"
พระเจ้าตรัสว่า: "เรา...รักเจ้า" (ยอห์น 3:16) "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"คุณบอกว่า: "ฉันสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว"
พระเจ้าตรัสว่า: "พระคุณของเรานั้นมีเพียงพอ" (2 โครินธ์ 12:9 & สดุดี 91:15)"2
โครินทร์ 12:9 "แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า"สดุดี
91:15 "เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา"*2*
คุณบอกว่า
: "ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี"
พระเจ้าตรัสว่า:"เราจะนำย่างเท้าของเจ้า"(สุภาษิต 3:5-6)"
5)จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง,6)จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระเจ้าจะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น"
คุณบอกว่า: "ฉันจะผ่านมันไปได้อย่างไร"
พระเจ้าตรัสว่า: "เจ้าจะเผชิญทุกสิ่งได้" (ฟิลิปปี 4:13)"
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า"
คุณบอกว่า: "ฉันทำไม่ได้"
พระเจ้าตรัสว่า: "เรา..ทำได้" (2 โครินธ์ 9:8)"
และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแต่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย"คุณบอกว่า
: "ไม่คุ้มเลย"
พระเจ้าตรัสว่า: "ผลที่ได้จะดีคุ้มค่าแน่นอน" (โรม 8:28 )"
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์"
คุณบอกว่า: "ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราอภัยให้เจ้าเสมอ" (1 ยอห์น 1:9 & โรม 8:1) "1ยน 1:9"ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น"รม
8:1"เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์*3*
คุณบอกว่า: "มันเกินกำลังของฉัน"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้แก่เจ้าไม่ให้ขาดเลย"(ฟิลิปปี 4:19)
"และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์"คุณบอกว่า: "ฉัน..กลัว"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราไม่ได้มอบจิตที่ขลาดกลัวให้แก่เจ้า" (2 ทิโมธี 1:7)"
จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่ท่านในทุกสิ่ง"
คุณบอกว่า: "ฉันท้อแท้ และกังวลใจ "
พระเจ้าตรัสว่า: "จงละความกระวนกระวายใจเอาไว้ที่เรา" (1 เปโตร 5:7)"1
เปโตร 5:7"จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย"
คุณบอกว่า: "ฉันไม่ฉลาดพอ"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราให้สติปัญญาแก่เจ้า" (1 โครินธ์ 1:30)"1
โครินธ์ 1:30" โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป"
*4*
คุณบอกว่า
: "ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย" (ฮีบรู 13:5)"
ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรอืทอดทิ้งท่านเลย"
โปรดจำไว้ให้มั่นว่า... พระเจ้าทรงพร้อมอยู่เสมอ สำหรับท่าน
อ่านแล้วโปรดแบ่งปันต่อด้วย และเราไม่รู้ได้เลยว่า
ตอนนี้... ใครต้องการคำหนุนใจจากท่านบ้าง
วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
ยาย กับ หลาน (ข้างบ้าน)
หลาน : ยาย .. .ยาย
ยาย : หา ?
หลาน : ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย .. .อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ?
ยาย : เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยายอายุ 50 ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังจะ 50 อยู่หรือเปล่า ไม่ได้นับมานานแล้ว
หลาน : โห...ยาย ป่านนี้มันไม่เหลือ 9 ขวบแล้วหรอ...แล้วลูกเต้าไม่มีเหรอยายถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย
ยาย : มี...
หลาน : อ้าว...แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยล่ะ
ยาย : มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง คนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่...อีกคนหนึ่งจะให้ยายไปอยู่ระยอง...ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กับใคร ?
หลาน : โอ้โฮ...ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกๆแย่งกันเลี้ยง
ยาย : โชคดีกะผีอะไรล่ะ...ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง...มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่ ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่...มันจะให้ไปอยู่ระยอง
หลาน : เออ...ยาย...อย่าไปคิดมากเลย อายุปูนนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
ยาย : โอ๊ย...แข็งแรงที่ไหนกัน ตอนนี้กำลังแย่เลย
หลาน : แย่ที่ไหนยาย...ก็เห็นแข็งแรงดี
ยาย : เดี๋ยวนี้ยายมีอาการแปลกๆ เช่น นั่งๆ อยู่เนี่ย...ถ้าลุกขึ้นปุ๊บ...มันจะยืนทุกทีเลย
หลาน : เป็นอะไรไม่รู้ลุกแล้วยืนน่ะมันธรรมดานะยาย...ยายเคยเห็นคนล้มทั้งยืนไหมยาย ?
ยาย : ไม่เคย
หลาน : อยากเห็นไหม ?
ยาย : อย่าเลย...ยายแก่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นอะไร
หลาน : อ้าว...เป็นอะไรไปเหรอยาย ?
ยาย : สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆ แล้วมันจะมีปัญหา
หลาน : มันเป็นยังไงหรอยาย ?
ยาย : อีขาซ้ายนี่มัน...ชา
หลาน : แล้วขาขวาล่ะยาย ?
ยาย : กาแฟ
หลาน : ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ
ยาย : ทำไมล่ะ ?
หลาน : ถ้าปล่อยไว้นานๆ มันจะเป็นโอวัลตินนะยาย
ยาย : อืม...แล้วพอยืนนานๆ นะ...ขาซ้ายมันจะปวด
หลาน : โอ๊ย...เป็นเรื่องธรรมดายาย อายุมากแล้วนี่มันก็ปวดสิ
ยาย : ไม่จริงหรอก...ขาข้างขวานี่ก็อายุเท่ากัน...ไม่เห็นมันปวดล่ะ ?
ยาย : หลานเอ้ย ...
หลาน : จ้ะยาย ...
ยาย : คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน
หลาน : จ้ะยาย
ยาย : หลานเอ้ย ... คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน
หลาน : จ้ะยาย
ยาย : หลานเอ้ย .. .คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน ....
หลาน : โอ๊ย รู้แล้ว ... พูดซ้ำซากอยู่นั่นแหละรำคาญ
ยาย : ไอ้หลาน .. .เอ็งนี่ช่างไม่มีความอดทนเอาซะเลย
ยาย : นี่เอ็งเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไหม
หลาน : เชื่อสิยาย
ยาย : เขาบอกว่า ... ถ้าเราฆ่าไก่ ... เราจะเกิดเป็นไก่ ถ้าเราฆ่าวัว ... เราจะเกิดเป็นวัว ถ้าเราฆ่านก ... เราจะเกิดเป็นนก
หลาน : ยาย .. .เห็นทีผมจะต้องฆ่าคนซะแล้วยาย
หลาน : เออ .. .ยาย .. .ฉันจะเปิดร้านใหม่ล่ะยาย .. .ยายช่วยไปอุดหนุนฉันหน่อยนะยาย .. .ฉันอยากให้ยายไปอุดหนุนเป็นคนแรกเลย ...
ยาย : โอ๊ย...ไม่มีปัญหา .. .เรามันคนกันเอง เออ .. .ว่าแต่ .. .แกจะเปิดร้านอะไรล่ะ
หลาน : ร้านขายโลงศพจ้ะยาย
ยาย : อ้ายเวร...ปากไม่เป็นมงคล .. .เอ็งจำไว้เลย ข้าจะไม่เหยียบเข้าร้านเอ็งจนวันตาย .. .
หลาน : ถ้าถึงวันตายแล้วอย่าลืมมาอุดหนุนนะยาย
ยาย : นี่ๆ .. .ยายก็มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง...กำลังเรียน .. .เป็นเด็กดีเหลือเกิน .. .กตัญญู .. .เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดยาย ... พอยายจะเอาชามไปล้าง ... หลานชายมันเข้ามาห้าม .. .มันบอกว่า " ยาย ... วันนี้เป็นวันเกิดยาย ... ยายอย่าล้างชามเลย ..."
หลาน : แหม .. .เป็นเด็กดีจริงๆเลยนะหลานยายเนี่ย
ยาย : เออ ... มันบอกกองเอาไว้ก่อน ... พรุ่งนี้ค่อยล้าง เอ้อ ยายต้องไปแล้วล่ะไอ้หนู
หลาน : อ้าว...ทำไมล่ะยาย ??
ยาย : ต้องรีบไปล้างจาน ??
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์.
"พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?" ศาสตราจารย์ถาม
"จริง" นักศึกษาตอบ.
ศาสตราจารย์พูดต่อว่า "ถ้า หากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง
ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย
และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา
พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง" นักศึกษาพากันเงียบกริบ
ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า
เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงม
งายเท่านั้น
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด
"ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?"
"ได้ซิ แน่นอน" ศาสตราจารย์ตอบ .
นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น "ศาสตราจารย์ครับ, ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"
"เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ.
เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?"
นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น
&n bsp;
นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ "ความ จริงนะครับ , ความเย็นไม่มีอยู่จริง.
ตามกฎทางฟิสิกส์,
สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน
สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้
และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง ศูนย์องศาสมบูรณ์
(Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง
ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ--
ความเย็นไม่มีอยู่จริง
เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้น
ครับ."
และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก "ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? "
ศาสตราจารย์ตอบ "ใช่......มันมีอยู่จริง."
นักศึกษาจึงพูดขึ้น "ท่าน ตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ ,
ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก . แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง
เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย
เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสี
ได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด
รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโล กของความมืดและทำให้มันสว่างไสว
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน?
ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม?
ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสง
สว่างนั่นเอง ."
นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก "ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"
คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "แน่ นอน
ตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรา
มีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่น
แหละ."
นักศึกษาตอบอีก "ความชั่วไม่ มีอยู่จริงหรอกครับท่าน,
หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง.
ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า
มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ
มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา
ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง
เช่นเดียวกับแสงสว่างและควา มร้อน
ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรั กของพระเป็นเจ้า
ในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน
หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ ."
ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป.
นักศึกษาหนุ่มผู้นั้นมีชื่อว่า - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
...
ในความเป็นจริง แม้เดิมซาตานจะเคยเป็นลูซิเฟอร์
หัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างก็จริง
แต่ความชั่วร้ายในตัวมันก็มิได้มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า
แต่มีต้นกำเนิดมาจากตัวของมันเอง (เทียบ ยอห์น 8:44)
สาเหตุที่ทำให้ต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายนี้อุบัติขึ้นในตัวของมันเอง
ก็มาจากการที่มันแยกตัวเองจากพระเจ้า ไม่พึ่งพิงพระเจ้า
เป็นเอกเทศจากพระเจ้า จึงคิดตั้งตนขึ้นเสมอพระเจ้า (อิสยาห์ 14:12-15)
ขณะที่พระเจ้าเนรมิตสร้างมนุษย์
พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์พึ่งพิงพระองค์โดยการกินต้นไม้แห่งชีวิต
ซึ่งต้นไม้แห่งชีวิตก็เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงตัวของพระเจ้าเอง
เมื่อมนุษย์ไม่พึ่งพิงพระองค์ ไม่กินพระองค์เป็นต้นไม้แห่งชีวิต (ยอห์น
6:57; 15:5) แต่ไปรับเอาต้นไม้แห่งความรู้ด ีและชั่วเข้ามาแทนพระเจ้า
(ซึ่งทั้งความรู้ ความดี และความชั่วก็ล้วนแต่ไม่ใช่พระเจ้า
มีแต่จะส่งเสริมให้เราเป็นอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพิงพระเจ้า)
มนุษย์ก็เลยยิ่งแยกไปจากพระเจ้า ยิ่งเป็นหนึ่งกับซาตาน
สำหรับพระเจ้าแล้ว
การกระทำของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเห็นว่าชั่วร้ายที่สุดก็คือการไปพึ่งพิงสิ่งอื่น
ยึดเอาสิ่งอื่นมาหล่อเลี้ยงชีวิตของตน แทนที่พระเจ้า
ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต
และเป็นการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตที่แท้จริงของเรา (เยเรมีย์ 2:13)
วันนี้ เราดำเนินชีวิตโดยพึ่งพิงพระองค์หรือไม่? เราเป็นคนดี
ด้วยความพยายามของเรา หรือเพราะเราพึ่งพิงพระเจ้า? เราปรนนิบัติพระเจ้า
ด้วยความร้อนรนของเรา
หรือโดยยึดพระเจ้าเป็นต้นกำเนิดที่หล่อเลี้ยงชีวิตแก่เรา?
ความสว่างที่เราได้จากการอ่านพระคัมภีร์ มาจากความฉลาดของเรา
หรือมาจากพระวิญญาณที่ฉายส่องในการอธิษฐาน (เทียบ อิสยาห์ 50:11)?
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
ทำไมน้ำตกจึงสวย
|