Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทเรียนสำคัญ

บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด 

เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน
 
อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง
 
ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
 
จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย
 

"
สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?" 

ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่
 
ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง
 
เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า
 50 
แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร

ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย
 
ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
 
คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่
 

"
แน่นอนอาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน 
เธอจะต้องพบกับคนมากมาย
 
ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ
 
ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่
 
แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม


ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย
 
และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี
 

2. 
บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน 

คืนหนึ่ง เวลา
 23:30 น. 
สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง
 สาย อลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ 
รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก
 แม้จะเปียกโชก เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ
ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง
 
เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่
 60 
ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้น รถแท๊กซี่
 

แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา
 
และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย
 
เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา
 ด้วยความประหลาดใจ 
โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อ ความแนบมาด้วย
 ใจความว่า: 

"
ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น 
แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย
 

แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
 
ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต
 
ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ
 สำหรับการช่วยฉัน 
และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ


ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล
 

3. 
บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ 
ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก
 
เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วนั่งที่โต๊ะ
 
เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า
 เด็กชายก็ถามว่า 
"
ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?" 

"
ห้าสิบเซ็นต์พนักงานเสริฟสาวตอบ 
แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า
 
แล้วก็นับเ หรียญในมือ
 

"
งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก 

ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมด ความอดทน
 

"
สามสิบห้าเซ็นต์เธอตอบห้วนๆ 
เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง
 

"
ผมขอไอศครีมเปล่าครับเด็กชายบอก 
แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา
 
ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
 
เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา
 
เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น
 
มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้า เหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น
 

เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด
 
เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น
 

4. 
บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา 
ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง
 
เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
 
เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง
 เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป 

พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานา
 
ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี
 
แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง
 

จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา
 
เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง
 
แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง
 
หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น
 
ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
 

เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา
 
เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่
 
ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา
 เขียนไว้ว่า 
ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน
 
ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้
 

ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้น
 ให้กับเรา 

5. 
บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า 
หลายปีมาแล้ว
 
เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งฉันได้รู้จัก กับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ
 ลิซ 
ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น
 
โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชาย อายุห้าขวบของเธอ
 

ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่า งปาฏิหารย์
 
จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา
 
หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง
 และถามเด็กชายว่า 
เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่
 
ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า
 

"
ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้
เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว
 ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้ม 
ของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป
 

เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ
 

"
ผมกำลังจะตายใช่ไหม?" 
ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป
 
เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อ ช่วยชีวิตเธอ
 

ตอนนี้คุณมีทางเลือกสองทาง
 

1. 
ลบข้อความนี้ไป หรือ 

2. 
ส่งข้อความนี้ให้ กับคนที่คุณห่วงใย 

ฉันหวังว่าคุณจะเลือกข้อ
 2. และจดจำไว้ว่า 

"
ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน 
รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน
 
และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่
" 
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น