5 กุมภาพันธ์ 2552 - 0:07:00
เว็บไซต์สมาคม จิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ "10 ways to build resilience (= 10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต)"
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กัน ฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
>
(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์
- ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง... สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)
(2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)
- อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
- การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ
- ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ
(3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
- ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว
- การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
- ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้... หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด
(4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย
- อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้
- เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุด แล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว... ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ
(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล
- ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
- คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม
(6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา
- คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบ ด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"
- คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ
(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก
- ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
- ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอ แต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวานแต่ละโมบโลภมาก กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ
- พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ
(8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล
- นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
- ไม่ว่าจะทำงานอะไร... ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
- มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม... ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา
- การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ
- ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร... ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ
(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้
- ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
- ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ
- ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต... สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"
(10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย
- ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ
- ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่า เส้นผม... สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ
ไม่ว่าวิกฤต จะหนักเพียงไร... วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
- เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
- ถ้าเครียดจนเกินไป... การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ... บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้... ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ... ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)
หรือเราจะ มองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้... "หลังพายุ... จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)" ทว่า... ตอนนี้เรียนเสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
Meeting Party ทุกศุกร์แรกของเดือน ณ iOffice หน้ากองบิน 41 เชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)
10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
โลกเป็นอย่างไรเมื่อ 100 ปีที่แล้ว (1908)
เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่า เราในปัจจุบันช่างแตกต่างจริงๆ
************ ********* ********* ******
************ ********* ********* ******
- มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีอ่างอาบน้ำ.
- เฉพาะ 8 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีโทรศัพท์.
- สูงสุดความเร็วจำกัดในเกือบทุกเมืองคือ 10 ไมล์ต่อชั่วโมง.
- โครงสร้างที่สูงที่สุดในโลกคือ Eiffel ทาวเวอร์!
- ในอัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยคือ 7 บาท/ชั่วโมง
- เฉลี่ยค่าแรงที่คนงานทำระหว่าง $ 200 และ $ 400 ต่อปี.
- พนักงานบัญชีที่สามารถคาดหวังได้ $ 2000 ต่อปี,
- หมอฟันเงินเดือน $ 2500 ต่อปีเป็นสัตวแพทย์ระหว่าง $ 1500 และ $ 4000 ต่อปีและวิศวกรช่างกลประมาณ $ 5000 ต่อปี.
- มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของสถานที่ทั้งหมดที่เกิดที่บ้าน
- เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดแพทย์ไม่จบอุดมศึกษา!
- แต่พวกเขาเข้าร่วมเพื่อที่เรียกแพทย์โรงเรียนหลายที่
- ได้ถูกตราหน้าในกดรัฐบาลเป็น 'ถึงขนาด. '
- น้ำตาลต้นทุนสี่เซ็นปอนด์.
- ไข่ถูกสิบสี่เซ็นเป็นโหล.
- กาแฟเป็นสิบห้าเซ็นต์ปอนด์.
- ผู้หญิงส่วนใหญ่ของพวกเขาเท่านั้นล้างผมเดือนละหนึ่งครั้งและใช้ น้ำประสานทองหรือไข่เป็นแชมพู.
- แคนาดาผ่านที่กฎหมายห้ามยากจนคนจาก
- เข้ามาในประเทศของตนด้วยเหตุผลใดก็ตาม.
- ห้าชั้นนำสาเหตุแห่งความตายได้: 1. ปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ 2. วัณโรค 3. ป่วง 4. โรคหัวใจ 5. เส้นเลือดในสมองอุดตัน
- ธงอเมริกันมีดาว 45 ดาว
- ประชากรที่ลาสเวกัส, เนวาดาเป็นมีเพียง 30 คน!!!!
- จำนวน 2 ใน 10 คนของผู้ใหญ่ไม่สามารถอ่านหรือเขียน.
- จำนวน 6 % ทั้งหมดมีชาวอเมริกันสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม.
- มีเจ้าหน้าที่เต็มเวลา 1 คน ที่จะช่วยเมืองทั้งเมือง
- มีรายงานเกี่ยวกับ 230 ใน murders ทั้งหมด! U.S.A.! ( ปี 2004 มี 14,124 คน เพิ่มขึ้น 61 เท่า)
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552
แจ้งเกิด"ห้องสมุดดิจิตอลโลก"ในนามยูเอ็น
![]() |
![]() |
![]() | ||||||||
|
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552
กินต้านแก่..สาว 40+ ต้องอ่าน
![]() |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 17 เมษายน 2552 14:02 น. |
![]() |
เรื่องของการกินอย่างทรงคุณค่านั้นถือว่ามีความสำคัญมากกับชีวิตมนุษย์เรา ดังภาษิตฝรั่งที่ว่า “You are what you eat” หรือ “กินอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น” ซึ่ง ถือเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง และปัจจุบันในสังคมตะวันตกเองยังให้ความสำคัญในเรื่องของการกินเป็นอย่างมาก อันเนื่องจากประชากรของเขาโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกากำลังถูกคุกคามด้วยโรคภัย สมัยใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับคนไทยเราเองพบว่า ปัจจุบันเป็นโรคดังกล่าวอยู่ในสัดส่วนที่สูงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้นวิธีการยับยั้ง หรือชะลอการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงการต้านความชราควรต้องเริ่มกันตั้งแต่ที่ต้นตอ นั่นคือเรื่องของ “การกิน” | ||||
ศาสตร์ ในเรื่อง “เอนไท เอจจิ้ง ไดเอท” (Anti-Aging Diet) จึงเกิดขึ้นมาเพื่อป้องกัน และชะลอความเสื่อมของร่างกายที่มิใช่เพียงแค่เพื่อความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการรู้จักเลือกรับสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และปลอดจากโรคภัย ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนควรหันมาใส่ใจมากขึ้น พญ. อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการสถาบัน Medisci แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และอายุรวัฒน์ ได้ขยายความถึงความสำคัญของการกินเพื่อต้านชราด้วยอาหารอายุวัฒนะ เพื่อคงไว้ซึ่งความมีสุขภาพที่แข็งแรง และอายุที่ยืนยาว รวมถึงการรักษาความอ่อนเยาว์แห่งวัย | ||||
การทานอาหารให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพนั้นควรทานให้ครบทุกมื้อ ทุกหมู่ โดยหลีกเลี่ยงการปรุงรสต่างๆ เพิ่มเติม เพราะอาหารรสจัดมันจะทำลายระบบการย่อย และการดูดซึมของร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะไส้รั่วตอนอายุมากได้ ซึ่งเป็นภาวะที่ผนังเยื่อบุลำไส้มีความผิดปกติทำให้มีร่องเกิดขึ้นตามผิว เยี่อบุ เมื่ออาหารลงไปแทนที่จะถูกย่อย และดูดซึมเข้าไปในร่างกาย แต่ร่างกายจะคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เกิดการต่อต้านแสดงออกมาเป็นอาการแพ้ ท้องอืด กรดไหลย้อนได้ ที่สำคัญควรเลือกทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และไม่ควรรีบเร่งในการทานอาหาร เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการติดคอแล้ว ยังอาจทำให้การย่อย รวมถึงการดูดซึมสารอาหารมีปัญหา ดังนั้นควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และหลีกเลี่ยงน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสำหรับผู้ที่มีอายุมาก และระบบการย่อยไม่ดี หากจำเป็นต้องทานอาหารเสริมควรเลือกจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ คุณหมอยังฝากถึงเรื่องของการขับพิษออกจากร่างกาย หรือการดีท็อกซ์ โดยแนะว่าควรขับถ่ายทุกวัน และออกกำลังกาย เพื่อขับสารพิษออกทางเหงื่อ หรือการนอนแช่น้ำอุ่นที่ผสมน้ำแอบเปิ้ลไซเดอร์ประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งอาจมีอาการของผื่นแดง เพราะร่างกายได้ขับสารพิษบางอย่างออกไป ท้ายสุด คุณหมอยังกำชับอีกว่า เรื่องของสภาพจิตใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์แข็งแรง และมีความสุขได้อย่างยั่งยืน เมื่อสมองผ่อนคลาย กินอิ่ม นอนหลับ ก็ส่งผลถึงระบบอวัยวะภายในร่างกายที่สามารถดำเนินไปอย่างเป็นปกติ | ||||
“คนไทยรับวัฒนธรรมการกินอยู่แบบชาวจีนมาเป็นเวลานาน เห็นได้จากช่วงหน้าร้อนก็จะมีการต้มน้ำพืชผักเพื่อดับร้อน เช่น ดอกเก็กฮวย เฉาก๊วย คนจีนจะดื่มน้ำที่มีรสชาติขม เพื่อผ่อนร้อนในตัวเอง โดยอาจจะต้มถั่วเขียว ส่วนคนไทยกินข้าวแช่ น้ำมะตูม ส่วนในฤดูหนาวจะมีต้มเลือดหมูใส่จิงจูไฉ่ ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณช่วยล้างปอด และอาหารจีนมักอาศัยความเชื่อเหมือนฮวงจุ้ยซึ่งเป็นพลังที่มองไม่เห็น ดังนั้นต้องอาศัยสัญชาตญาณในการพิจารณาว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับตนที่สุด ซึ่งถ้าเป็นคนจิตใจดี ร่างกายก็จะสั่งว่าต้องการอะไรเนื้อสัตว์ หรือผักสด ดังนั้นควรฝึกจิตให้มีสติในการเลือกสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง” | ||||
ได้สาธิตเมนูสุขภาพชะลอวัย “พีชสลัดกับสโมกแซลมอน” พร้อมฝากถึงสาวผู้รักสุขภาพ และความงามทุกท่านว่า “คนไทยเคยชินกับการกินผักผลไม้ เพราะบ้านเมืองเราเป็นแหล่งของพืชผักผลไม้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเริ่มจากสิ่งที่เรามี เลือกถูกหลัก และถูกปาก ที่สำคัญ ตนเองเป็นคนสุขนิยมในการกิน และไม่อยู่กับทุกข์นานๆ ดังนั้นเวลาทำอะไร เลือกกินอะไรจะต้องทำอย่างมีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ของตน เพียงเท่านี้สุขภาพที่แข็งแรงก็จะเป็นของตัวเองได้อย่างง่ายๆ” | ||||
ของฝาก สุดยอดอาหารต้านชรา (The Anti-Aging Super Food) ที่จะช่วยปกป้องร่างกาย และต่อต้านอนุมูลอิสระ เพื่อผิวพรรณแลดูอ่อนวัยได้อย่างยาวนาน | ||||
มันเทศ ฟักทอง และแครอต รับ ประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับ เบต้า-แคโรทีน จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้ บูลเบอร์รี่ และองุ่นม่วง มีสารแอนโธไซยานินช่วยกระตุ้นความจำ และการรับรู้ บล็อกโคลี่ มีสารซัลโฟราเฟน ช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน ผักโขม และผักใบเขียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ แซลมอน ซาร์ดีน และทูน่า รับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สองมื้อต่อสัปดาห์ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยลดปัญหาเรื่องการทำงานของสมองเสื่อมตามวัยได้ แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย ชาเขียว เช่นเดียวกับชาดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ขิง ขมิ้น และเครื่องเทศ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ช็อกโกแลต โกโก้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และลดความเสี่ยงจากเลือดจับตัวเป็นก้อน ไข่ ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานนมไปได้เลย เพราะไข่มีครบทั้งเกลือแร่ วิตามินและโปรตีน ไข่แดงยังอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม |
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552
"แดเนียล วู" : ดาราช่วยเหลือสังคม
ใครจะรู้ว่าแดเนียลในฐานะนักแสดงที่ครองใจแฟนคอหนังทั่วเอเชีย อีกหนึ่งบทบาทเขายังทำงานช่วยเหลือสังคมตามแนวดารารุ่นพี่อย่าง เจ็ทลี และ เฉินหลง อีกด้วย โดยเฉพาะในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน เมื่อปี 2551 นอกจากพวกเขาแล้ว นักแสดงอื่นๆทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ฮ่องกงต่างก็ทุ่มเทช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
![]() |
แดเนียล วู หรือชื่อในภาษาจีนกลาง อู๋ เอี๋ยนจู่ หนุ่มตี๋วัย 34 ปี ที่ขณะนี้เป็นดาราหนุ่มสุดฮอตที่มีคนพูดถึงอย่างมากตามหน้าบันเทิงของ เว็บไซต์ต่างๆ ทั้งในจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ส่วนหนึ่งก็มาจากผลงานล่าสุดที่กลับมาร่วมงานอีกครั้งกับดารารุ่นพี่เฉินหลง | |||||
แต่เนื่องจากใช้ชีวิตในต่างแดนมานาน ความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนกลางหรือกวางตุ้งจึงดูไม่เชี่ยวชาญนัก ไม่นานแดเนียลก็พยายามฝึกฝนภาษาจีนอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายกับการยอมรับว่าเขาก็เป็นชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งระยะหลังความทุ่มเทของหนุ่มแดเนียลก็แสดงผล เมื่องานในตลาดบันเทิงฮ่องกงต่างก็เรียกหา ว่ากันว่าความดีทั้งหมดก็หนีไม่พ้นเฉินหลงอีกเช่นเคย ที่กรุยทางเส้นนี้ให้ดาราหนุ่ม “แรกเริ่มผมกับพี่เขาเหมือนไอดอลและแฟนคลับที่มาเจอกัน ต่อมาได้ทำงานร่วมกันหลายครั้ง ก็เหมือนเพื่อนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน คือพี่เขามองผมเหมือนลูกชายน่ะครับ” แดเนียลพูดถึงดารารุ่นพี่ สำหรับชีวิตส่วนตัวของแดเนียล ดาราหนุ่มเปิดอกเตรียมสละโสดในเดือนพฤษภาคมนี้ กับลิซ่า แฟนสาวที่คบหากันมาเกือบ 7 ปี แถมยังบอกอีกด้วยว่าอยากเป็นพ่อก่อนอายุ 40 | |||||
| |||||
|
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)